วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2567

Continuous Threat Exposure Management (CTEM) คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร การนำไปประยุกต์กับองค์กร

 Continuous Threat Exposure Management (CTEM)

การจัดการการเปิดเผยต่อภัยคุกคามอย่างต่อเนื่อง คือกระบวนการที่องค์กรใช้เพื่อตรวจจับ ประเมิน และจัดการกับภัยคุกคามทางไซเบอร์อย่างต่อเนื่อง เป้าหมายของ CTEM คือการระบุและลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างไม่หยุดนิ่งในระบบเครือข่ายหรือโครงสร้างพื้นฐานขององค์กร ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถป้องกันและตอบสนองต่อเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

องค์ประกอบหลักของ Continuous Threat Exposure Management (CTEM) สามารถแบ่งออกเป็น 5 ส่วนสำคัญ ดังนี้

1. การตรวจจับภัยคุกคามอย่างต่อเนื่อง (Continuous Threat Detection)

การตรวจจับภัยคุกคามเป็นหัวใจหลักของ CTEM ซึ่งมุ่งเน้นการใช้เครื่องมือที่สามารถสแกนหาภัยคุกคามตลอดเวลาในระบบเครือข่ายขององค์กร ไม่ว่าจะเป็นการตรวจจับมัลแวร์ การบุกรุก หรือพฤติกรรมที่ผิดปกติในเครือข่าย เครื่องมือเหล่านี้อาจรวมถึงระบบตรวจสอบการบุกรุก (Intrusion Detection Systems - IDS), ระบบเฝ้าระวังความปลอดภัยแบบบูรณาการ (SIEM), หรือการใช้ AI และ Machine Learning ในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากระบบเครือข่ายและอุปกรณ์ต่างๆ ตัวอย่างการใช้งาน เช่น ธนาคารที่ใช้ระบบ SIEM ตรวจจับการโจมตีแบบ Phishing และ Ransomware เพื่อปกป้องข้อมูลลูกค้า

2. การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment)

หลังจากการตรวจจับภัยคุกคามแล้ว องค์กรต้องทำการประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับภัยคุกคามนั้นๆ ซึ่งประกอบด้วยการวิเคราะห์ความรุนแรง (Impact) และความน่าจะเป็น (Likelihood) ของการเกิดภัยคุกคาม การประเมินความเสี่ยงนี้จะช่วยจัดลำดับความสำคัญว่าองค์กรควรจัดการกับภัยคุกคามใดก่อน ตัวอย่างเช่น ในองค์กรด้านการผลิต เมื่อพบการโจมตีที่มีเป้าหมายไปที่ระบบ SCADA (Supervisory Control and Data Acquisition) องค์กรจะต้องประเมินว่าการโจมตีนี้อาจส่งผลต่อกระบวนการผลิตหรือไม่ และควรตอบสนองอย่างไร

3. การจัดการช่องโหว่ (Vulnerability Management)

ช่องโหว่ในระบบต่างๆ เช่น ช่องโหว่จากซอฟต์แวร์ที่ล้าสมัยหรือการตั้งค่าความปลอดภัยที่ไม่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดภัยคุกคามที่รุนแรงได้ การจัดการช่องโหว่หมายถึงการตรวจสอบและปิดช่องโหว่เหล่านี้อย่างต่อเนื่อง เครื่องมือในการจัดการช่องโหว่อาจรวมถึงการสแกนช่องโหว่ (Vulnerability Scanners) และการตรวจสอบการปรับปรุงแพตช์ (Patch Management Systems) ตัวอย่างในองค์กร เช่น โรงพยาบาลที่ใช้เครื่องมือนี้เพื่อป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์จากช่องโหว่ของระบบ IoT ในอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เชื่อมต่อเครือข่าย

4. การตอบสนองต่อเหตุการณ์ (Incident Response)

เมื่อมีภัยคุกคามที่เกิดขึ้นจริง องค์กรจะต้องมีแผนรับมือกับเหตุการณ์เหล่านั้นทันที กระบวนการตอบสนองต่อเหตุการณ์จะรวมถึงการจำกัดความเสียหาย, การฟื้นฟูระบบ, และการสืบสวนหาสาเหตุของการโจมตี องค์กรควรมีทีมตอบสนองต่อเหตุการณ์ (Incident Response Team) ที่พร้อมจัดการกับภัยคุกคามอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น บริษัทด้านเทคโนโลยีที่ถูกโจมตีทางไซเบอร์จะใช้ Incident Response Plan ในการแยกเซิร์ฟเวอร์ที่ถูกเจาะข้อมูลออกจากเครือข่ายและกู้คืนระบบให้กลับมาใช้งานได้ในเวลาที่สั้นที่สุด

5. การติดตามและรายงานผล (Monitoring and Reporting)

การติดตามผลเป็นส่วนสำคัญใน CTEM เพราะการติดตามภัยคุกคามที่เกิดขึ้นและการตอบสนองต่อภัยคุกคามที่ตรวจพบช่วยให้องค์กรสามารถประเมินผลกระทบและปรับปรุงแผนการรักษาความปลอดภัยต่อไปได้ การรายงานผลยังมีบทบาทสำคัญในการให้ข้อมูลแก่ผู้บริหารเพื่อใช้ในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ ตัวอย่างการใช้งานในองค์กร เช่น บริษัทในกลุ่มธุรกิจค้าปลีกที่ใช้เครื่องมือ SIEM และการวิเคราะห์เหตุการณ์ความปลอดภัยเพื่อติดตามและรายงานสถานะความปลอดภัยให้กับฝ่ายบริหารทราบเป็นระยะ

ตัวอย่างการนำ Continuous Threat Exposure Management (CTEM) ไปประยุกต์ใช้งานในองค์กรและประโยชน์ที่ได้รับ

ตัวอย่าง  ธนาคารและสถาบันการเงิน

การนำ CTEM ไปใช้งาน  ธนาคารแห่งหนึ่งกำลังเผชิญกับความเสี่ยงในการถูกโจมตีทางไซเบอร์อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการทำธุรกรรมทางการเงินส่วนใหญ่ดำเนินการผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของอาชญากรไซเบอร์ที่ต้องการเข้าถึงข้อมูลทางการเงินของลูกค้าและทำการโจมตีด้วยวิธีต่างๆ เช่น การโจมตีแบบฟิชชิง (Phishing), การฉ้อโกงทางการเงิน, และการโจมตีแบบ DDoS (Distributed Denial of Service)

การประยุกต์ใช้ CTEM

1.      การตรวจจับภัยคุกคาม  ธนาคารใช้ระบบ SIEM (Security Information and Event Management) ที่เชื่อมต่อกับทุกระบบในเครือข่าย ไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกรรมออนไลน์หรือการเข้าถึงข้อมูลผ่านระบบภายใน เครื่องมือ SIEM จะตรวจสอบการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ เช่น มีผู้ใช้พยายามเข้าสู่ระบบด้วยข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหลายครั้ง หรือตรวจจับพฤติกรรมที่ดูเหมือนจะเป็นการโจมตีแบบฟิชชิง

2.      การประเมินความเสี่ยง  ทีมรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ของธนาคารจะวิเคราะห์เหตุการณ์ที่ตรวจพบ เช่น การพยายามเข้าถึงข้อมูลของลูกค้าหรือการโจมตีที่มุ่งเป้าระบบการโอนเงินออนไลน์ เพื่อประเมินความรุนแรงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น หากพบว่าเป็นการโจมตีที่อาจทำให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูลสำคัญ ทีมจะจัดลำดับความสำคัญของการตอบสนองอย่างทันท่วงที

3.      การจัดการช่องโหว่  ธนาคารดำเนินการตรวจสอบช่องโหว่ในระบบอย่างสม่ำเสมอ เช่น การใช้เครื่องมือสแกนช่องโหว่เพื่อดูว่าแอปพลิเคชันใดบ้างที่ต้องการอัปเดตแพตช์หรือระบบใดที่มีความเสี่ยงสูง ธนาคารจะใช้ระบบ Patch Management เพื่ออัปเดตซอฟต์แวร์ที่เสี่ยงต่อการถูกโจมตี

4.      การตอบสนองต่อเหตุการณ์  เมื่อมีการตรวจพบการโจมตีแบบฟิชชิงที่พยายามเข้าถึงบัญชีของลูกค้า ทีม Incident Response จะทำการบล็อกบัญชีผู้ใช้ที่มีความเสี่ยงทันที และสื่อสารกับลูกค้าเพื่อเปลี่ยนรหัสผ่าน นอกจากนี้ยังสามารถนำข้อมูลของการโจมตีมาวิเคราะห์เพื่อลดโอกาสการโจมตีในอนาคต

5.      การติดตามและรายงานผล  ผลการตอบสนองต่อการโจมตีจะถูกติดตามและรายงานให้ฝ่ายบริหารทราบผ่านรายงานด้านความปลอดภัยรายเดือน เพื่อให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจเชิงกลยุทธ์เกี่ยวกับการลงทุนในเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยเพิ่มเติม

ประโยชน์ต่อองค์กร

1.      ลดความเสี่ยงจากการโจมตีทางไซเบอร์  ด้วยการตรวจจับและประเมินภัยคุกคามอย่างต่อเนื่อง ธนาคารสามารถระบุการโจมตีและจัดการกับปัญหาได้ทันที ลดโอกาสในการเกิดความเสียหายต่อข้อมูลสำคัญของลูกค้า

2.      การป้องกันเชิงรุก  การจัดการช่องโหว่และการตอบสนองต่อภัยคุกคามอย่างรวดเร็ว ช่วยให้องค์กรสามารถดำเนินมาตรการป้องกันได้ก่อนที่การโจมตีจะทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง

3.      ความน่าเชื่อถือของลูกค้าและคู่ค้า  เมื่อลูกค้าเห็นว่าธนาคารมีมาตรการที่เข้มงวดในการปกป้องข้อมูล พวกเขาจะเชื่อมั่นในระบบความปลอดภัย ส่งผลให้ความสัมพันธ์กับลูกค้าดีขึ้น และช่วยรักษาความน่าเชื่อถือของแบรนด์

4.      การปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านกฎหมาย  องค์กรสามารถปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานความปลอดภัยที่กำหนด เช่น PDPA หรือ GDPR ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า

5.      การปรับปรุงกระบวนการภายใน  ข้อมูลที่ได้จากการติดตามและวิเคราะห์เหตุการณ์ช่วยให้ธนาคารสามารถปรับปรุงกระบวนการรักษาความปลอดภัยในระยะยาวได้ ทำให้การบริหารจัดการความเสี่ยงมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ด้วยการนำ CTEM ไปประยุกต์ใช้งาน ธนาคารสามารถจัดการกับภัยคุกคามทางไซเบอร์อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงในการสูญเสียข้อมูลสำคัญ และเสริมสร้างความปลอดภัยที่แข็งแกร่งสำหรับลูกค้า


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น