LiDAR (Light Detection and Ranging) คือเทคโนโลยีที่ใช้เลเซอร์ในการวัดระยะทางระหว่างเซ็นเซอร์กับวัตถุเพื่อสร้างภาพสามมิติหรือแผนที่ความสูงของพื้นที่ เทคโนโลยีนี้ทำงานโดยการส่งแสงเลเซอร์ไปยังวัตถุและวัดเวลาที่แสงใช้ในการสะท้อนกลับมายังเซ็นเซอร์ ซึ่งจะนำมาคำนวณระยะทางและตำแหน่งของวัตถุ
องค์ประกอบของ
LiDAR
(Light Detection and Ranging) มีหลัก ๆ ดังนี้
1.
Laser (แหล่งกำเนิดแสงเลเซอร์) เป็นตัวปล่อยแสงเลเซอร์ไปยังวัตถุ
โดยแสงนี้จะสะท้อนกลับมาหาเซ็นเซอร์หลังจากกระทบกับพื้นผิวของวัตถุ
2.
Scanner และ Optics
(เครื่องสแกนและเลนส์) ช่วยควบคุมการปล่อยลำแสงเลเซอร์ไปในทิศทางต่าง ๆ
โดยทำการหมุนหรือปรับมุมของแสงเลเซอร์เพื่อให้ได้ข้อมูลแบบ 3 มิติของพื้นที่
3.
Photodetector และ Receiver
Electronics (ตัวตรวจจับแสงและวงจรรับสัญญาณ) รับแสงเลเซอร์ที่สะท้อนกลับจากวัตถุและแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้า
เพื่อนำไปประมวลผลต่อ
4.
GPS (Global Positioning System) ใช้สำหรับระบุตำแหน่งของเซ็นเซอร์
LiDAR ในพื้นที่จริง ช่วยให้ทราบตำแหน่งที่แม่นยำของการสแกน
5.
IMU (Inertial Measurement Unit) ใช้ในการวัดความเคลื่อนไหวและการหมุนของเซ็นเซอร์
ช่วยให้การประมวลผลข้อมูลสอดคล้องกับทิศทางการเคลื่อนที่ของเครื่อง
6.
Computer System (ระบบประมวลผล) ประมวลผลข้อมูลที่ได้จากเซ็นเซอร์และสร้างภาพ 3 มิติหรือแผนที่ของพื้นที่ที่ทำการสแกน
LiDAR
(Light Detection and Ranging) ถูกนำไปใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม
โดยการใช้งานหลัก ๆ มีดังนี้
1.
การสร้างแผนที่ภูมิศาสตร์ (Mapping) LiDAR ถูกใช้ในการสำรวจพื้นที่และสร้างแผนที่
3 มิติที่มีความละเอียดสูงของภูมิประเทศ เช่น การสำรวจภูเขา
หุบเขา แม่น้ำ หรือการวางแผนก่อสร้างถนน
2.
การขับขี่อัตโนมัติ (Autonomous
Vehicles)
ใช้ในการตรวจจับและหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวาง
เช่น รถยนต์ คนเดินถนน และสิ่งของต่าง ๆ บนถนน
เพื่อทำให้รถขับเคลื่อนโดยอัตโนมัติอย่างปลอดภัย
3.
การสำรวจและการเกษตร (Agriculture and
Forestry)
ใช้ในการสำรวจพื้นที่ป่าไม้
การวิเคราะห์สภาพภูมิทัศน์ ตรวจสอบการเติบโตของต้นไม้
หรือใช้ในระบบการเกษตรเพื่อวัดระดับน้ำในแปลงเพาะปลูก
4.
อุตสาหกรรมการก่อสร้างและสถาปัตยกรรม (Construction
and Architecture) LiDAR ใช้ในการสร้างแบบจำลอง 3 มิติของอาคาร โครงสร้าง
หรือพื้นที่ก่อสร้าง ช่วยในการตรวจสอบการสร้างและการวางแผนก่อสร้าง
5.
การสำรวจโบราณคดี (Archaeology) ช่วยค้นหาซากโบราณสถานหรือโครงสร้างทางประวัติศาสตร์ที่ซ่อนอยู่ในพื้นที่ป่าหรือที่ไม่สามารถเข้าถึงได้
6.
การตรวจสอบภัยพิบัติและการจัดการทรัพยากร
(Disaster
Management)
ใช้ในการตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของภูมิประเทศ
เช่น การวิเคราะห์ดินถล่ม การตรวจสอบแผ่นดินไหว
หรือการวิเคราะห์ระดับน้ำเพื่อเตรียมการป้องกันน้ำท่วม
LiDAR มีหลายประเภทที่แบ่งตามการใช้งานและเทคโนโลยี
โดยสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้
1. Airborne LiDAR (LiDAR ทางอากาศ)
- เป็น LiDAR ที่ติดตั้งบนเครื่องบินหรือโดรนเพื่อทำการสำรวจพื้นที่ขนาดใหญ่
เช่น การทำแผนที่ภูมิประเทศและการสำรวจสภาพแวดล้อม
- สามารถแบ่งย่อยได้เป็น
- Topographic LiDAR ใช้เลเซอร์ในช่วงแสงอินฟราเรด
(infrared light) เพื่อวัดและสร้างแผนที่ภูมิประเทศบนบก
- Bathymetric LiDAR ใช้เลเซอร์ในช่วงแสงสีเขียว
(green light) สำหรับการวัดระดับความลึกของน้ำ เช่น
การสำรวจใต้ทะเลหรือแม่น้ำ
2. Terrestrial LiDAR (LiDAR ทางพื้นดิน)
- เป็น LiDAR ที่ติดตั้งบนพื้นดินหรือตัวเครื่องที่ใช้เดินสำรวจ
เช่น รถ หรืออุปกรณ์สแกนที่ใช้เดินเท้า ใช้สำหรับการสร้างแผนที่ 3 มิติของพื้นที่จำเพาะหรือสิ่งปลูกสร้าง
- สามารถแบ่งย่อยได้เป็น
- Static LiDAR ใช้ในการสแกนพื้นที่หรือวัตถุขนาดใหญ่
เช่น อาคารหรือภูมิประเทศ โดยติดตั้ง LiDAR อยู่กับที่
- Mobile LiDAR ติดตั้ง LiDAR บนยานพาหนะที่เคลื่อนที่ได้ เช่น รถ หรือเรือ ใช้สำหรับการสำรวจถนน
อาคาร หรือพื้นที่ที่ยากต่อการเข้าถึง
- Short-range LiDAR ใช้ในการวัดระยะทางหรือสแกนวัตถุขนาดเล็กหรือในระยะใกล้
เช่น การสแกนชิ้นส่วนในการผลิตหรือการสแกนสิ่งของภายในอาคาร
การนำ LiDAR มาประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยีในอนาคตมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อหลายอุตสาหกรรมและสร้างโอกาสใหม่
ๆ ให้กับการพัฒนาในหลากหลายด้าน ซึ่งการใช้งานที่สำคัญในอนาคตประกอบด้วย
1. การขับขี่อัตโนมัติ (Autonomous
Vehicles)
- LiDAR จะเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีหลักที่ช่วยให้ยานพาหนะขับเคลื่อนเองโดยไม่ต้องมีคนขับ
(self-driving cars) สามารถตรวจจับสิ่งกีดขวาง
ทำนายทิศทางการเคลื่อนที่ของยานพาหนะและผู้คนในรอบข้าง
และช่วยในการนำทางอย่างปลอดภัย
- ในอนาคต การพัฒนา LiDAR ที่มีความละเอียดสูงและราคาถูกลงจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบการขับขี่อัตโนมัติ
2. เมืองอัจฉริยะ (Smart
Cities)
- LiDAR จะถูกนำมาใช้ในการสร้างแผนที่เมืองที่มีความละเอียดสูง
ซึ่งช่วยในการวางแผนโครงสร้างพื้นฐาน การจัดการจราจร
และการตรวจสอบสภาพแวดล้อมแบบเรียลไทม์
- การติดตั้ง LiDAR บนสถานีสาธารณะหรือยานพาหนะของเทศบาลจะช่วยในการตรวจจับการเคลื่อนที่ของคนและยานพาหนะ
ช่วยปรับปรุงความปลอดภัยในเมือง
3. การสำรวจอวกาศ (Space
Exploration)
- LiDAR สามารถใช้ในการสำรวจดาวเคราะห์และดวงจันทร์
โดยการสร้างแผนที่พื้นผิวดาวและวิเคราะห์ภูมิประเทศ เช่น
การสำรวจพื้นผิวดวงจันทร์ หรือดาวอังคาร
เพื่อค้นหาพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการลงจอดหรือสร้างฐาน
4. การเกษตรอัจฉริยะ (Smart
Agriculture)
- LiDAR สามารถช่วยในการตรวจสอบพืชผลแบบเรียลไทม์ โดยสามารถวัดความสูง
การเจริญเติบโต และการกระจายน้ำในพื้นที่เพาะปลูก
ซึ่งจะช่วยเกษตรกรในการจัดการทรัพยากรและเพิ่มผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. ความบันเทิงและเกมเสมือนจริง
(AR/VR)
- LiDAR จะเข้ามามีบทบาทในการสร้างสภาพแวดล้อมเสมือนจริงที่สมจริงมากขึ้นในอุตสาหกรรมเกมและแอปพลิเคชันความจริงเสริม
(Augmented Reality) เช่น
การสแกนห้องหรือสถานที่ในชีวิตจริงเพื่อนำมาใช้ในการจำลองโลกเสมือน
6. การแพทย์และการดูแลสุขภาพ
(Healthcare)
- ในอนาคต LiDAR อาจถูกนำมาใช้ในการสร้างภาพ 3 มิติของร่างกายเพื่อช่วยในการตรวจสอบสภาพร่างกายหรือสร้างแบบจำลองของอวัยวะเพื่อลดความเสี่ยงในการผ่าตัด
หรือการสร้างอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีความแม่นยำสูง
7. การตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐาน
(Infrastructure Monitoring)
- LiDAR จะช่วยในการตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สะพาน อาคาร หรือถนน
เพื่อดูแลและบำรุงรักษาแบบเชิงรุก
โดยการตรวจหาความเสียหายหรือการเสื่อมสภาพที่อาจไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
การพัฒนาเทคโนโลยี LiDAR อย่างต่อเนื่องจะทำให้เทคโนโลยีนี้มีบทบาทสำคัญในอนาคตในการปรับปรุงความปลอดภัย
ประสิทธิภาพ และนวัตกรรมในหลายอุตสาหกรรมที่สำคัญ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น