วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2567

ISO 9001 มาตรฐานสากลสำหรับระบบการจัดการคุณภาพ (Quality Management System หรือ QMS)

 ISO 9001 คือมาตรฐานสากลสำหรับระบบการจัดการคุณภาพ (Quality Management System หรือ QMS) ที่องค์กรใช้เพื่อสร้างความมั่นใจว่าสินค้าและบริการที่จัดทำมีคุณภาพตามข้อกำหนดและความพึงพอใจของลูกค้า โดยมีข้อกำหนดที่องค์กรต้องปฏิบัติตามเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานและคุณภาพอย่างต่อเนื่อง

หลักการสำคัญของ ISO 9001

1.      การมุ่งเน้นที่ลูกค้า
องค์กรต้องเข้าใจความต้องการของลูกค้า และทำให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ส่งมอบตรงตามความคาดหวัง

การมุ่งเน้นที่ลูกค้า เป็นหลักการสำคัญของมาตรฐาน ISO 9001 ที่เน้นให้องค์กรใส่ใจความต้องการและความพึงพอใจของลูกค้าเป็นหัวใจหลักของการดำเนินงาน โดยการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและพยายามเกินความคาดหวังของพวกเขา

แนวทางในการมุ่งเน้นที่ลูกค้า

·      การทำความเข้าใจลูกค้า
องค์กรต้องเข้าใจความต้องการของลูกค้าทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมถึงการศึกษาความคาดหวังและความต้องการเฉพาะที่ลูกค้ามีต่อสินค้าและบริการ

·      การวัดความพึงพอใจของลูกค้า
องค์กรต้องมีการเก็บรวบรวมข้อมูลและวัดระดับความพึงพอใจของลูกค้า เพื่อนำผลลัพธ์มาปรับปรุงกระบวนการหรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงตามความต้องการมากขึ้น

·      การให้ความสำคัญกับข้อเสนอแนะของลูกค้า
การรับฟังข้อเสนอแนะ ข้อร้องเรียน และความคิดเห็นจากลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถปรับปรุงผลิตภัณฑ์และบริการได้ดีขึ้น

·      การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า
การตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าอย่างรวดเร็ว การให้บริการที่ดี และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า เป็นวิธีในการเพิ่มความพึงพอใจและสร้างความภักดี

·      การปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อความพึงพอใจของลูกค้า
องค์กรต้องมีการประเมินผลและพัฒนากระบวนการภายใน เพื่อทำให้มั่นใจว่าลูกค้าจะได้รับสินค้าและบริการที่มีคุณภาพสม่ำเสมอ

2.      ความเป็นผู้นำ
ผู้บริหารระดับสูงต้องมีบทบาทในการสนับสนุนและรับผิดชอบต่อการดำเนินงานตามระบบ ISO 9001 โดยต้องจัดสรรทรัพยากรและส่งเสริมการจัดการที่มีประสิทธิภาพ

ความเป็นผู้นำ เป็นอีกหนึ่งหลักการสำคัญของ ISO 9001 ที่เน้นให้ผู้นำหรือผู้บริหารระดับสูงขององค์กรมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการคุณภาพ โดยผู้นำต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการนำองค์กรไปสู่ความสำเร็จผ่านการกำหนดทิศทางและการจัดการที่มีประสิทธิภาพ

แนวทางในการแสดงความเป็นผู้นำ

·      การกำหนดวิสัยทัศน์และทิศทาง
ผู้นำต้องมีความชัดเจนในการกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ และนโยบายคุณภาพ เพื่อให้พนักงานทุกคนเข้าใจทิศทางและเป้าหมายขององค์กร

·      การสร้างความร่วมมือภายในองค์กร
ผู้นำต้องสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมความร่วมมือ การมีส่วนร่วม และการสื่อสารที่เปิดเผยในทุกระดับชั้น เพื่อให้เกิดการทำงานเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพ

·      การจัดสรรทรัพยากรที่เพียงพอ
ผู้นำต้องมั่นใจว่าองค์กรมีทรัพยากรที่เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นบุคลากร งบประมาณ หรือเทคโนโลยี เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามแผนและเป้าหมาย

·      การสนับสนุนการพัฒนาและปรับปรุง
ผู้นำต้องสนับสนุนการปรับปรุงกระบวนการอย่างต่อเนื่อง โดยการมองหาโอกาสในการพัฒนาประสิทธิภาพขององค์กรและส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของพนักงาน

·      การรับผิดชอบต่อระบบการจัดการคุณภาพ
ผู้บริหารระดับสูงต้องรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ของระบบการจัดการคุณภาพ (QMS) และติดตามประสิทธิภาพของระบบเพื่อให้แน่ใจว่าองค์กรสามารถส่งมอบสินค้าหรือบริการที่ตรงตามข้อกำหนดและความพึงพอใจของลูกค้า

·      การเป็นแบบอย่างที่ดี
ผู้นำต้องแสดงออกถึงพฤติกรรมและค่านิยมที่ต้องการเห็นในองค์กร โดยทำให้พนักงานเห็นตัวอย่างที่ดีในการปฏิบัติตามนโยบายคุณภาพและกระบวนการต่างๆ

3.      การจัดการตามกระบวนการ
มาตรฐานนี้สนับสนุนการจัดการทุกขั้นตอนขององค์กรเป็นกระบวนการที่เชื่อมต่อกัน เพื่อให้สามารถควบคุมและพัฒนาประสิทธิภาพของแต่ละกระบวนการได้อย่างเหมาะสม

การจัดการตามกระบวนการ เป็นหลักการสำคัญของ ISO 9001 ที่มุ่งเน้นให้ทุกกิจกรรมและขั้นตอนในองค์กรถูกมองและจัดการในลักษณะของ "กระบวนการ" โดยกระบวนการแต่ละส่วนจะต้องเชื่อมต่อและสนับสนุนกันอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

แนวทางการจัดการตามกระบวนการ

·      การระบุและนิยามกระบวนการ
องค์กรต้องระบุและนิยามกระบวนการต่างๆ ที่สำคัญในการผลิตสินค้า หรือการให้บริการ เช่น กระบวนการจัดซื้อ กระบวนการผลิต และกระบวนการจัดส่ง

·      การจัดลำดับความสำคัญของกระบวนการ
การเข้าใจว่ากระบวนการใดมีความสำคัญและมีผลกระทบมากที่สุดต่อคุณภาพสินค้าและบริการ ช่วยให้องค์กรสามารถโฟกัสการปรับปรุงในจุดที่จำเป็น

·      การบูรณาการระหว่างกระบวนการ
กระบวนการภายในองค์กรต้องเชื่อมโยงและทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้การดำเนินงานราบรื่น ไม่มีความล่าช้าหรือความผิดพลาดในการส่งต่อข้อมูลหรือสินค้า

·      การตรวจสอบและวัดผลกระบวนการ
องค์กรต้องติดตาม ตรวจสอบ และวัดผลการทำงานของแต่ละกระบวนการอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลของกระบวนการนั้นๆ

·      การใช้ทรัพยากรให้เหมาะสม
การจัดการตามกระบวนการต้องมีการใช้ทรัพยากรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแรงงาน วัสดุ หรือเวลา อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดโดยใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า

·      การระบุความเสี่ยงและโอกาสในการปรับปรุง
กระบวนการใดที่มีความเสี่ยงต่อการสร้างความผิดพลาด องค์กรควรมีแผนการแก้ไขหรือป้องกันล่วงหน้า รวมถึงการมองหาโอกาสในการปรับปรุงกระบวนการอย่างต่อเนื่อง

·      การปรับปรุงกระบวนการอย่างต่อเนื่อง
การจัดการตามกระบวนการยังมุ่งเน้นให้เกิดการปรับปรุงและพัฒนาอย่างสม่ำเสมอ โดยการใช้ข้อมูลที่ได้จากการตรวจสอบและวัดผลมาเป็นพื้นฐานในการพัฒนา

4.      การคิดตามความเสี่ยง
ISO 9001 2015 มุ่งเน้นการระบุความเสี่ยงและโอกาสในการดำเนินงาน โดยต้องมีการวางแผนเพื่อจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

การคิดตามความเสี่ยง เป็นหลักการสำคัญของ ISO 9001 ที่เน้นให้การบริหารจัดการในองค์กรมีการพิจารณาความเสี่ยงและโอกาสที่อาจเกิดขึ้นในทุกกระบวนการ เพื่อลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดและผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ รวมถึงการใช้โอกาสให้เกิดประโยชน์สูงสุด

แนวทางการคิดตามความเสี่ยง

·      การระบุความเสี่ยงและโอกาส
องค์กรต้องเริ่มจากการระบุความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในแต่ละกระบวนการ ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงด้านคุณภาพ การดำเนินงาน หรือความเสี่ยงทางการเงิน รวมถึงโอกาสที่จะพัฒนาหรือปรับปรุงกระบวนการให้ดีขึ้น

·      การประเมินความเสี่ยง
หลังจากระบุความเสี่ยงแล้ว องค์กรควรประเมินระดับความเสี่ยง โดยพิจารณาผลกระทบและโอกาสในการเกิดขึ้นของความเสี่ยงนั้นๆ เพื่อจัดลำดับความสำคัญในการจัดการ

·      การวางแผนจัดการความเสี่ยง
องค์กรควรมีแผนในการป้องกันและลดผลกระทบจากความเสี่ยงที่เกิดขึ้น โดยการปรับปรุงกระบวนการ สร้างมาตรการควบคุม หรือมีแผนการรับมือเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด

·      การติดตามความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง
การคิดตามความเสี่ยงไม่ใช่เรื่องที่ทำเพียงครั้งเดียว แต่ต้องมีการติดตามและประเมินความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง เพราะสถานการณ์และเงื่อนไขภายในและภายนอกองค์กรสามารถเปลี่ยนแปลงได้

·      การใช้โอกาสเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
นอกจากการจัดการความเสี่ยงแล้ว องค์กรยังต้องมองหาโอกาสในการพัฒนา เช่น การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ หรือการขยายตลาดใหม่เพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติม

·      การสร้างวัฒนธรรมการคิดตามความเสี่ยง
องค์กรควรปลูกฝังวัฒนธรรมการคิดตามความเสี่ยงให้กับพนักงานในทุกระดับ โดยให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการระบุและจัดการความเสี่ยงในงานที่รับผิดชอบ

·      การปรับปรุงตามผลลัพธ์ที่ได้
จากการประเมินและจัดการความเสี่ยง องค์กรสามารถนำผลลัพธ์ที่ได้มาปรับปรุงกระบวนการภายใน เพื่อป้องกันปัญหาและพัฒนาคุณภาพของการดำเนินงาน

5.      การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
องค์กรต้องมุ่งเน้นการปรับปรุงกระบวนการและผลลัพธ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความผิดพลาดและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน

การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เป็นหลักการสำคัญของ ISO 9001 ที่มุ่งเน้นให้องค์กรมีการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่หยุดอยู่ที่ความสำเร็จในปัจจุบัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ คุณภาพ และความพึงพอใจของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

แนวทางการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

·      การตรวจสอบและวัดผล
องค์กรควรมีระบบตรวจสอบและวัดผลการทำงานในทุกขั้นตอน เพื่อให้ทราบถึงประสิทธิภาพและปัญหาที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงใช้ข้อมูลที่ได้เป็นพื้นฐานในการปรับปรุง

·      การระบุโอกาสในการปรับปรุง
การปรับปรุงไม่จำเป็นต้องเกิดจากความผิดพลาดเสมอไป แต่อาจมาจากการค้นพบวิธีการใหม่ๆ ที่ทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เช่น การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้หรือการปรับปรุงวิธีการทำงาน

·      การใช้วงจร PDCA
องค์กรสามารถใช้วงจร PDCA (Plan-Do-Check-Act) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากการวางแผน (Plan) ลงมือทำ (Do) ตรวจสอบผลลัพธ์ (Check) และนำผลที่ได้มาปรับปรุง (Act)

·      การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของพนักงาน
องค์กรควรส่งเสริมให้พนักงานทุกระดับมีส่วนร่วมในการระบุปัญหาและเสนอแนวทางปรับปรุง เพราะพนักงานที่ปฏิบัติงานในแต่ละส่วนมักจะเห็นปัญหาและวิธีการแก้ไขได้ดีกว่า

·      การจัดการกับข้อร้องเรียนและข้อเสนอแนะ
การรับฟังข้อร้องเรียนและข้อเสนอแนะจากลูกค้าเป็นช่องทางหนึ่งในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์หรือบริการ โดยข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปใช้พัฒนากระบวนการได้

·      การใช้ข้อมูลเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจ
การปรับปรุงกระบวนการควรอิงจากข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง (Data-Driven) เพื่อให้การตัดสินใจมีความแม่นยำและถูกต้องมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้องค์กรสามารถปรับปรุงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

·      การสร้างวัฒนธรรมการปรับปรุงในองค์กร
องค์กรควรปลูกฝังวัฒนธรรมการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องให้กับพนักงาน โดยสนับสนุนให้ทุกคนมีแนวคิดในการปรับปรุงการทำงานอยู่เสมอ

6.      การจัดทำเอกสาร
การจัดทำและบันทึกข้อมูลอย่างเป็นระบบ เพื่อเป็นหลักฐานแสดงถึงการปฏิบัติตามข้อกำหนดของมาตรฐาน และเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในแต่ละกระบวนการ

การจัดทำเอกสาร เป็นหลักการสำคัญของ ISO 9001 ที่มุ่งเน้นให้กระบวนการทำงานต่างๆ ถูกบันทึกและจัดเก็บเป็นเอกสารอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างมาตรฐานในการดำเนินงานและเป็นหลักฐานแสดงถึงการปฏิบัติตามข้อกำหนดของมาตรฐานคุณภาพ นอกจากนี้ยังช่วยให้การสื่อสารและการฝึกอบรมมีความชัดเจนและตรวจสอบได้

แนวทางการจัดทำเอกสารตาม ISO 9001

·      การกำหนดเอกสารที่จำเป็น
องค์กรต้องระบุเอกสารที่จำเป็นในการสนับสนุนกระบวนการสำคัญ เช่น คู่มือการดำเนินงาน ข้อกำหนดเกี่ยวกับสินค้า หรือแบบฟอร์มที่ใช้ในการตรวจสอบคุณภาพ

·      การควบคุมเอกสาร
องค์กรต้องมีกระบวนการควบคุมเอกสารที่ชัดเจน เช่น การกำหนดหมายเลขเวอร์ชัน การอนุมัติ และการจัดเก็บเอกสารในสถานที่ที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายและถูกต้อง

·      การรักษาความถูกต้องและทันสมัยของเอกสาร
เอกสารทั้งหมดต้องมีการอัปเดตให้ทันสมัยและถูกต้องอยู่เสมอ โดยมีการทบทวนและอนุมัติเอกสารก่อนการใช้งาน เพื่อให้แน่ใจว่าพนักงานทุกคนปฏิบัติตามข้อกำหนดที่เป็นปัจจุบัน

·      การบันทึกข้อมูลการดำเนินงาน
ในการดำเนินงานตามระบบคุณภาพ องค์กรต้องมีการบันทึกข้อมูลผลการทำงานและผลการตรวจสอบ เพื่อเป็นหลักฐานในการตรวจสอบและประเมินผล เช่น รายงานการตรวจสอบคุณภาพ การบันทึกการฝึกอบรม และรายงานการแก้ไขปัญหา

·      การเข้าถึงและแบ่งปันเอกสาร
เอกสารต้องสามารถเข้าถึงได้โดยบุคคลที่เกี่ยวข้องในกระบวนการ รวมถึงต้องมีการจัดการระบบแบ่งปันข้อมูลอย่างเหมาะสมเพื่อให้พนักงานทุกคนใช้เอกสารเดียวกันและเป็นปัจจุบัน

·      การจัดการเอกสารที่ล้าสมัย
เอกสารที่ถูกแทนที่หรือล้าสมัยแล้วต้องถูกระบุและจัดการอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันการใช้งานเอกสารที่ไม่ถูกต้องหรือล้าสมัยในการดำเนินงาน

·      การใช้เอกสารเพื่อสนับสนุนการปรับปรุง
ข้อมูลที่ได้จากเอกสาร เช่น ข้อผิดพลาดหรือปัญหาที่พบในการตรวจสอบ สามารถนำมาใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงกระบวนการและพัฒนาคุณภาพงานอย่างต่อเนื่อง

ISO 9001 เป็นมาตรฐานที่ถูกพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจและเทคโนโลยี มาตรฐานนี้ได้รับการปรับปรุงหลายครั้ง โดยแต่ละเวอร์ชันมีข้อแตกต่างที่สำคัญเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบบริหารคุณภาพ (QMS) ในแต่ละยุคสมัย

เวอร์ชันต่างๆ ของ ISO 9001 และข้อแตกต่างหลัก

1. ISO 9001 1987

  • ลักษณะ  เวอร์ชันแรกของ ISO 9001 มุ่งเน้นไปที่การตรวจสอบการผลิตและการควบคุมคุณภาพ เน้นการสร้างมาตรฐานการผลิตที่มีประสิทธิภาพในเชิงการผลิตอุตสาหกรรม
  • ข้อจำกัด  เน้นการผลิตแบบเดิมๆ และขาดการพิจารณาการบริหารในด้านอื่นๆ ขององค์กร

2. ISO 9001 1994

  • ลักษณะ  มีการปรับปรุงให้รวมถึงข้อกำหนดเกี่ยวกับการป้องกันข้อผิดพลาดและการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เริ่มเน้นการสร้างกระบวนการควบคุมเชิงป้องกันมากขึ้น
  • ข้อจำกัด  ยังคงเน้นการตรวจสอบที่มุ่งเน้นไปที่กระบวนการผลิตและเอกสารมากกว่าการจัดการในองค์กรโดยรวม

3. ISO 9001 2000

  • ลักษณะ  เวอร์ชันนี้มีการปรับปรุงครั้งใหญ่ โดยการเปลี่ยนมุมมองจากการเน้นการตรวจสอบกระบวนการผลิตไปเป็นการบริหารจัดการทั้งองค์กร มีการนำแนวคิดของ กระบวนการ และการ ปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง มาใช้มากขึ้น
  • ข้อแตกต่าง  มุ่งเน้นการจัดการองค์กรในภาพรวม ให้ความสำคัญกับความต้องการของลูกค้า และการปรับปรุงระบบคุณภาพอย่างต่อเนื่อง (PDCA)

4. ISO 9001 2008

  • ลักษณะ  เป็นการปรับปรุงเวอร์ชันปี 2000 โดยเน้นไปที่การทำให้ข้อกำหนดชัดเจนขึ้นและสอดคล้องกับมาตรฐานอื่นๆ ในระบบการบริหารคุณภาพ
  • ข้อแตกต่าง  ปรับปรุงและชี้แจงข้อกำหนดต่างๆ ให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างใหญ่

5. ISO 9001 2015

  • ลักษณะ  เวอร์ชันล่าสุดที่มีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับการบริหารจัดการยุคใหม่ โดยเน้นการคิดตามความเสี่ยง (Risk-based thinking) มากขึ้น การมองภาพรวมเชิงกลยุทธ์ขององค์กร และการสร้างคุณค่าให้กับลูกค้า
  • ข้อแตกต่าง
    • การคิดตามความเสี่ยง  มีการนำความเสี่ยงมาเป็นปัจจัยหลักในการกำหนดกลยุทธ์และกระบวนการทำงาน
    • ผู้นำองค์กร  เพิ่มบทบาทของผู้นำองค์กรให้มีความรับผิดชอบต่อระบบบริหารคุณภาพมากขึ้น
    • ลดการเน้นเอกสาร  ลดความจำเป็นในการจัดทำเอกสารให้น้อยลง มุ่งเน้นการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพแทน
    • การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง  ยังคงเป็นหัวใจสำคัญ แต่เพิ่มการมุ่งเน้นในเรื่องการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน

ข้อแตกต่างหลักระหว่างเวอร์ชันเก่าและใหม่

1.      โครงสร้างการจัดการ
ISO 9001 2015 ใช้โครงสร้างที่สอดคล้องกับมาตรฐานอื่นๆ ของ ISO เช่น ISO 14001 เพื่อให้องค์กรสามารถใช้ระบบบริหารจัดการหลายมาตรฐานร่วมกันได้ง่ายขึ้น

2.      การคิดตามความเสี่ยง
เวอร์ชัน 2015 เน้นเรื่องการจัดการความเสี่ยง ซึ่งเวอร์ชันเก่าไม่มีความชัดเจนเท่านี้ องค์กรต้องพิจารณาความเสี่ยงและโอกาสในการดำเนินงาน

3.      บทบาทของผู้นำ
ในเวอร์ชัน 2015 บทบาทของผู้นำองค์กรถูกเพิ่มความสำคัญอย่างมาก ผู้นำต้องมีส่วนร่วมในทุกกระบวนการ ไม่ใช่แค่การอนุมัติเอกสาร

4.      ความยืดหยุ่นในการจัดทำเอกสาร
เวอร์ชัน 2015 ลดข้อกำหนดที่เข้มงวดเกี่ยวกับเอกสาร ทำให้สามารถปรับใช้ระบบคุณภาพได้ง่ายขึ้น

การที่จะได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 9001 2015 นั้น องค์กรจำเป็นต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน เพื่อให้แน่ใจว่าระบบการบริหารคุณภาพขององค์กรสอดคล้องกับข้อกำหนดของมาตรฐานดังกล่าว โดยมีขั้นตอนหลักๆ ดังนี้

1. การเตรียมการภายในองค์กร

  • ความมุ่งมั่นจากผู้บริหาร  ผู้บริหารระดับสูงต้องมีความมุ่งมั่นที่จะนำมาตรฐาน ISO 9001 2015 มาปรับใช้ในองค์กร และสนับสนุนทรัพยากรที่จำเป็น เช่น บุคลากร การฝึกอบรม และงบประมาณ
  • การตั้งทีมงาน ISO  แต่งตั้งทีมงานที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญเพื่อเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการเตรียมความพร้อม เช่น การตรวจสอบกระบวนการ การจัดทำเอกสาร และการประเมินความเสี่ยง
  • การศึกษามาตรฐาน ISO 9001 2015  ทีมงานควรศึกษาและทำความเข้าใจข้อกำหนดของ ISO 9001 2015 เพื่อให้แน่ใจว่าการดำเนินงานขององค์กรจะสอดคล้องกับข้อกำหนดทั้งหมด

2. การวิเคราะห์และจัดการกระบวนการภายในองค์กร

  • การวิเคราะห์ช่องว่าง (Gap Analysis)  ตรวจสอบกระบวนการที่มีอยู่แล้วภายในองค์กรว่าตรงกับข้อกำหนดของ ISO 9001 2015 หรือไม่ หากมีช่องว่างใดๆ ต้องปรับปรุงหรือเพิ่มกระบวนการเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐาน
  • การปรับปรุงกระบวนการและเอกสาร  ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้สอดคล้องกับข้อกำหนด เช่น การจัดการตามกระบวนการ การคิดตามความเสี่ยง การจัดทำเอกสารที่จำเป็น และการตรวจสอบคุณภาพ
  • การระบุและประเมินความเสี่ยง  จัดทำการประเมินความเสี่ยงและระบุโอกาสในการปรับปรุงตามแนวคิดการคิดตามความเสี่ยง (Risk-based thinking)

3. การจัดทำเอกสารระบบคุณภาพ (Quality Management System Documentation)

  • การจัดทำคู่มือคุณภาพ (Quality Manual)  คู่มือคุณภาพเป็นเอกสารที่อธิบายระบบการจัดการคุณภาพขององค์กร โดยรวมถึงนโยบาย เป้าหมาย และโครงสร้างการดำเนินงาน
  • การจัดทำระเบียบปฏิบัติและขั้นตอน (Procedures and Work Instructions)  ระบุขั้นตอนการดำเนินงานและมาตรฐานในกระบวนการต่างๆ อย่างชัดเจน
  • การควบคุมเอกสาร  การจัดทำระบบควบคุมเอกสารเพื่อให้มั่นใจว่าเอกสารทั้งหมดจะถูกตรวจสอบ อัปเดต และแจกจ่ายให้กับบุคลากรที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้อง

4. การอบรมและสร้างความตระหนักรู้ให้กับพนักงาน

  • การอบรมพนักงาน  จัดอบรมพนักงานทุกระดับให้เข้าใจถึงระบบบริหารคุณภาพ และบทบาทหน้าที่ของตนเองในกระบวนการบริหารคุณภาพ
  • การสร้างความตระหนักรู้  ปลูกฝังแนวคิดเรื่องคุณภาพ การคิดตามความเสี่ยง และการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องให้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กร

5. การตรวจสอบภายใน (Internal Audit)

  • การตรวจสอบระบบ  ดำเนินการตรวจสอบภายในโดยทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อประเมินว่าองค์กรปฏิบัติตามข้อกำหนด ISO 9001 2015 หรือไม่ และระบุจุดที่ต้องปรับปรุงก่อนการตรวจสอบจากภายนอก
  • การแก้ไขปัญหา  หากพบข้อบกพร่องหรือความไม่สอดคล้องในการตรวจสอบภายใน องค์กรต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาเหล่านั้นทันที

6. การตรวจประเมินจากหน่วยงานรับรอง (Certification Body)

  • การเลือกหน่วยงานรับรอง  เลือกหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือและได้รับการยอมรับในการตรวจประเมิน ISO 9001 2015
  • การตรวจประเมินเบื้องต้น (Stage 1 Audit)  หน่วยงานรับรองจะมาตรวจสอบเอกสารและกระบวนการต่างๆ เพื่อประเมินว่าองค์กรมีความพร้อมหรือไม่
  • การตรวจประเมินครั้งที่สอง (Stage 2 Audit)  หากองค์กรผ่านการประเมินเบื้องต้นแล้ว หน่วยงานรับรองจะเข้ามาตรวจสอบกระบวนการทั้งหมดอย่างละเอียดอีกครั้ง

7. การได้รับการรับรอง ISO 9001 2015

  • หากองค์กรผ่านการตรวจประเมินครั้งที่สองและแก้ไขปัญหาที่พบได้ตามกำหนดเวลา องค์กรจะได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 9001 2015 อย่างเป็นทางการจากหน่วยงานรับรอง

8. การตรวจติดตามหลังการรับรอง (Surveillance Audit)

  • การตรวจติดตามประจำปี  หน่วยงานรับรองจะเข้ามาตรวจสอบเป็นระยะทุกปี เพื่อให้แน่ใจว่าองค์กรยังคงปฏิบัติตามมาตรฐาน ISO 9001 2015 อย่างต่อเนื่อง
  • การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง  องค์กรต้องมุ่งเน้นการปรับปรุงระบบบริหารคุณภาพอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาการรับรองและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน

การรับรองมาตรฐาน ISO 9001 2015 มีประโยชน์มากมายสำหรับองค์กร โดยสามารถสรุปได้ดังนี้

1. การเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า

  • การปรับปรุงคุณภาพสินค้าและบริการ  การปฏิบัติตามข้อกำหนดของ ISO 9001 2015 ช่วยให้องค์กรสามารถปรับปรุงคุณภาพสินค้าและบริการให้ตรงตามความต้องการของลูกค้า
  • การตอบสนองต่อข้อร้องเรียน  ระบบบริหารคุณภาพช่วยให้สามารถจัดการข้อร้องเรียนจากลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. การพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงาน

  • การจัดการตามกระบวนการ  ISO 9001 2015 ส่งเสริมให้มีการจัดการที่มีระเบียบและมีประสิทธิภาพผ่านการวิเคราะห์กระบวนการ
  • การคิดตามความเสี่ยง  การใช้แนวคิดการคิดตามความเสี่ยงช่วยลดโอกาสการเกิดปัญหาหรือข้อผิดพลาด

3. การเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

  • การสร้างความน่าเชื่อถือ  การได้รับการรับรอง ISO 9001 2015 เป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นในด้านคุณภาพ ซึ่งช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นในตลาด
  • การเข้าถึงตลาดใหม่  การมีมาตรฐาน ISO 9001 2015 ช่วยให้สามารถเข้าถึงตลาดที่ต้องการการรับรองคุณภาพ เช่น ตลาดต่างประเทศ

4. การปรับปรุงการบริหารจัดการ

  • การกำหนดบทบาทและความรับผิดชอบ  มาตรฐานนี้ช่วยให้มีการกำหนดบทบาทและความรับผิดชอบที่ชัดเจนในองค์กร
  • การสื่อสารภายในที่ดีขึ้น  การจัดทำเอกสารและกระบวนการที่ชัดเจนช่วยให้การสื่อสารในองค์กรเป็นไปอย่างราบรื่น

5. การเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน

  • การจัดการเอกสารที่มีระเบียบ  การควบคุมเอกสารอย่างมีระบบช่วยลดข้อผิดพลาดและทำให้กระบวนการทำงานมีความสม่ำเสมอ
  • การจัดการกับปัญหาการผลิต  การปรับปรุงกระบวนการตามการวิเคราะห์และการวัดผลช่วยให้แก้ไขปัญหาการผลิตได้รวดเร็ว

6. การสนับสนุนการพัฒนาและการฝึกอบรม

  • การพัฒนาทักษะของพนักงาน  การให้การฝึกอบรมเกี่ยวกับระบบบริหารคุณภาพช่วยให้พนักงานมีความรู้และทักษะที่ดีขึ้น
  • การสร้างวัฒนธรรมองค์กร  มาตรฐาน ISO 9001 2015 ส่งเสริมการสร้างวัฒนธรรมที่มุ่งเน้นคุณภาพและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

7. การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการความเสี่ยง

  • การระบุและจัดการความเสี่ยง  การคิดตามความเสี่ยงช่วยให้สามารถระบุและจัดการกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการทำงาน

8. การส่งเสริมการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

  • การปรับปรุงกระบวนการ  การมุ่งเน้นการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องช่วยให้องค์กรสามารถพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการอยู่เสมอ
  • การใช้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจ  การวิเคราะห์ข้อมูลช่วยให้การตัดสินใจเกี่ยวกับการปรับปรุงกระบวนการมีความแม่นยำมากขึ้น

9. การสร้างความเชื่อมั่นในองค์กร

  • การเพิ่มความเชื่อถือจากลูกค้าและคู่ค้า  การมีการรับรอง ISO 9001 2015 ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นจากลูกค้าและคู่ค้าในด้านคุณภาพขององค์กร

การได้รับการรับรอง ISO 9001 2015 ช่วยให้องค์กรมีระบบการบริหารคุณภาพที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ซึ่งส่งผลให้สามารถเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า ปรับปรุงกระบวนการภายใน และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น