DR Site (Disaster Recovery Site)
DR
Site หรือ Disaster Recovery Site เป็นสถานที่สำรองที่องค์กรเตรียมไว้เพื่อให้สามารถกู้คืนและดำเนินธุรกิจต่อไปได้ในกรณีที่ไซต์หลัก
(Primary Site) ไม่สามารถใช้งานได้เนื่องจากเหตุการณ์ฉุกเฉินหรือภัยพิบัติ
เช่น การเกิดไฟไหม้, น้ำท่วม, การโจมตีทางไซเบอร์,
หรือเหตุการณ์ทางธรรมชาติอื่น ๆ DR Site ช่วยให้องค์กรสามารถลดเวลาที่ระบบขัดข้อง
(downtime) และรักษาความต่อเนื่องของธุรกิจ (Business
Continuity) ได้
ประเภทของ DR Site DR Site มีหลายประเภท
แต่ละประเภทมีระดับความพร้อมและค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันไป
ขึ้นอยู่กับความต้องการขององค์กร
1.
Hot Site เป็น DR Site ที่มีการติดตั้งระบบและอุปกรณ์ต่างๆ ไว้พร้อมใช้งานเสมอ
ข้อมูลจากไซต์หลักจะถูกซิงโครไนซ์กับ Hot Site แบบเรียลไทม์
ทำให้สามารถกู้คืนระบบได้ทันทีหลังจากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน Hot Site เป็นตัวเลือกที่มีค่าใช้จ่ายสูงแต่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการลด RTO
(Recovery Time Objective) และ RPO (Recovery Point
Objective)
Ø ความพร้อมใช้งาน
สูงสุด
Ø คำอธิบาย
Hot Site เป็นสถานที่สำรองที่มีระบบและอุปกรณ์ทั้งหมดที่จำเป็นในการดำเนินงานเหมือนกับไซต์หลัก
ข้อมูลจะถูกซิงโครไนซ์แบบเรียลไทม์ระหว่างไซต์หลักและ Hot Site ทำให้สามารถกู้คืนระบบได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
Ø ตัวอย่างการใช้งาน
ธนาคารและสถาบันการเงินที่ต้องการความต่อเนื่องของบริการตลอดเวลา
Ø ข้อดี สามารถกู้คืนระบบได้เร็วที่สุด
Ø ข้อเสีย
ค่าใช้จ่ายสูงมาก
เนื่องจากต้องมีการซิงโครไนซ์ข้อมูลและการบำรุงรักษาระบบอย่างสม่ำเสมอ
2.
Warm Site เป็น DR Site ที่มีการติดตั้งระบบและอุปกรณ์บางส่วนไว้ล่วงหน้า
แต่ไม่มีการซิงโครไนซ์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ ข้อมูลจะถูกสำรองและย้ายไปยัง Warm
Site ในช่วงเวลาที่กำหนด หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน ระบบใน Warm
Site จะสามารถใช้งานได้ภายในไม่กี่ชั่วโมงหรือไม่กี่วัน
Ø ความพร้อมใช้งาน
ปานกลาง
Ø คำอธิบาย
Warm Site เป็นสถานที่สำรองที่มีการติดตั้งระบบและอุปกรณ์บางส่วนไว้ล่วงหน้า
ข้อมูลอาจถูกสำรองไว้เป็นระยะเวลาที่กำหนด
แต่ไม่มีการซิงโครไนซ์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ เมื่อต้องการกู้คืนระบบใน Warm
Site จะใช้เวลาหลายชั่วโมงถึงหลายวัน
Ø ตัวอย่างการใช้งาน
บริษัทที่มีความต้องการกู้คืนระบบในเวลาที่ไม่เร่งด่วนมาก
Ø ข้อดี ค่าใช้จ่ายต่ำกว่า Hot Site แต่ยังสามารถกู้คืนระบบได้ในเวลาที่เหมาะสม
Ø ข้อเสีย
ใช้เวลานานในการกู้คืนระบบและอาจมีข้อมูลสูญหายบ้างระหว่างการสำรองข้อมูล
3.
Cold Site เป็น DR Site ที่ไม่มีการติดตั้งอุปกรณ์หรือระบบใดๆ ไว้ล่วงหน้า
เป็นเพียงสถานที่ที่พร้อมให้ติดตั้งอุปกรณ์ใหม่หลังจากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน Cold
Site มีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุดแต่ใช้เวลานานที่สุดในการกู้คืนระบบ
เพราะต้องทำการติดตั้งและกู้คืนข้อมูลทั้งหมดใหม่
Ø ความพร้อมใช้งาน
ต่ำสุด
Ø คำอธิบาย
Cold Site เป็นสถานที่สำรองที่ไม่มีการติดตั้งระบบหรืออุปกรณ์ใดๆ
ล่วงหน้า
เป็นเพียงพื้นที่เปล่าที่พร้อมสำหรับการติดตั้งอุปกรณ์ใหม่เมื่อต้องการกู้คืนระบบ Cold
Site มักจะเป็นตัวเลือกที่มีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด
แต่การกู้คืนระบบอาจใช้เวลานานที่สุด
Ø ตัวอย่างการใช้งาน
องค์กรขนาดเล็กที่มีงบประมาณจำกัดและไม่มีความต้องการกู้คืนระบบอย่างเร่งด่วน
Ø ข้อดี ค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด
Ø ข้อเสีย
ใช้เวลานานในการกู้คืนระบบ
และต้องจัดเตรียมอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ใหม่ทั้งหมด
4.
Mobile Site
Ø ความพร้อมใช้งาน
ยืดหยุ่น
Ø คำอธิบาย
Mobile Site เป็นสถานที่สำรองที่สามารถเคลื่อนย้ายได้
ซึ่งมักจะอยู่ในรูปแบบของรถบรรทุกหรือรถตู้ที่ติดตั้งอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และการสื่อสารทั้งหมด
Mobile Site สามารถถูกย้ายไปยังสถานที่ใดก็ได้ที่ต้องการ
Ø ตัวอย่างการใช้งาน
หน่วยงานที่ต้องการความยืดหยุ่นในการเลือกสถานที่กู้คืน
เช่น หน่วยงานรัฐบาลหรือหน่วยงานทหาร
Ø ข้อดี ยืดหยุ่นในการเลือกสถานที่กู้คืน
และสามารถเคลื่อนย้ายได้
Ø ข้อเสีย
ค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้ายและบำรุงรักษาอาจสูง
5.
Cloud DR Site (Cloud-Based Disaster Recovery)
Ø ความพร้อมใช้งาน
ปานกลางถึงสูง
Ø คำอธิบาย
Cloud DR Site ใช้โครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ในการกู้คืนระบบ
โดยข้อมูลและแอปพลิเคชันจะถูกเก็บสำรองไว้ในคลาวด์ เมื่อต้องการกู้คืน
ระบบสามารถถูกเปิดใช้งานได้ในระยะเวลาสั้นผ่านโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์
Ø ตัวอย่างการใช้งาน
บริษัทที่ต้องการโซลูชันการกู้คืนที่ยืดหยุ่นและประหยัดงบประมาณ
เช่น องค์กรขนาดกลางที่ใช้คลาวด์เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นฐาน
Ø ข้อดี ยืดหยุ่นในการปรับขนาดและประหยัดค่าใช้จ่าย
มีการกู้คืนที่รวดเร็วหากตั้งค่าการซิงโครไนซ์ข้อมูลอย่างเหมาะสม
Ø ข้อเสีย
ขึ้นอยู่กับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและอาจมีข้อจำกัดด้านการควบคุมและความปลอดภัยข้อมูล
ขั้นตอนการจัดตั้งและจัดการ DR Site
การจัดตั้งและจัดการ Disaster Recovery Site (DR Site) เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนซึ่งต้องใช้การวางแผนและการดำเนินงานอย่างรอบคอบ
เพื่อให้มั่นใจว่าองค์กรสามารถกู้คืนระบบและข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
1. การวิเคราะห์ความต้องการ (Needs Analysis)
การวิเคราะห์ความต้องการ (Needs Analysis) เป็นกระบวนการที่สำคัญในการประเมินและเข้าใจความต้องการที่แท้จริงขององค์กร
เพื่อวางแผนและจัดเตรียมกลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับการจัดการกับสถานการณ์ฉุกเฉิน
โดยเฉพาะในบริบทของ Disaster Recovery (DR) การวิเคราะห์ความต้องการช่วยให้สามารถระบุข้อกำหนดที่จำเป็นในการรักษาความต่อเนื่องของธุรกิจและการกู้คืนระบบ
ขั้นตอนในการวิเคราะห์ความต้องการ
Ø การรวบรวมข้อมูลพื้นฐาน (Data Collection)
o การสัมภาษณ์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder Interviews) สัมภาษณ์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
เช่น ผู้จัดการฝ่าย IT, ผู้บริหาร, และพนักงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความต้องการและข้อกำหนดในการกู้คืน
o การสำรวจเอกสาร (Document Review) ตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น
แผนธุรกิจ, รายงานการวิเคราะห์ความเสี่ยง, และเอกสารทางเทคนิคเพื่อรวบรวมข้อมูลพื้นฐาน
Ø การกำหนดความสำคัญของข้อมูลและระบบ (Identification of Critical Data and
Systems)
o การระบุข้อมูลและระบบที่สำคัญ (Critical Data and Systems
Identification) ระบุข้อมูลและระบบที่มีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ
เช่น ฐานข้อมูลลูกค้า, ระบบการเงิน, และระบบการจัดการการผลิต
o การประเมินผลกระทบจากการหยุดทำงาน (Impact Assessment) ประเมินผลกระทบจากการหยุดทำงานของข้อมูลและระบบที่สำคัญ
เช่น การสูญเสียรายได้, ความเสียหายต่อชื่อเสียง, และผลกระทบต่อการดำเนินงาน
Ø การกำหนด Recovery Time Objective (RTO) และ Recovery Point
Objective (RPO)
o Recovery Time
Objective (RTO) ระยะเวลาสูงสุดที่ยอมรับได้ในการกู้คืนระบบหลังจากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
o Recovery Point
Objective (RPO) จุดเวลาที่สามารถรับได้ในการสูญเสียข้อมูล
ซึ่งหมายถึงปริมาณข้อมูลที่สูญหายได้ก่อนเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
Ø การประเมินความพร้อมของทรัพยากร (Resource Readiness Assessment)
o การตรวจสอบทรัพยากรที่มีอยู่ (Existing Resource Assessment) ตรวจสอบฮาร์ดแวร์, ซอฟต์แวร์, และทรัพยากรบุคคลที่มีอยู่เพื่อตรวจสอบว่ามีความพร้อมสำหรับการกู้คืนหรือไม่
o การระบุทรัพยากรที่ขาดแคลน (Resource Gap Analysis) ระบุทรัพยากรที่ขาดแคลนและความต้องการเพิ่มเติมในการดำเนินการตามแผน
DR
Ø การกำหนดกลยุทธ์และวิธีการกู้คืน (Recovery Strategies and Methods)
o การพัฒนากลยุทธ์การกู้คืน (Recovery Strategies Development) พัฒนากลยุทธ์การกู้คืนที่เหมาะสมตามความสำคัญของข้อมูลและระบบ
เช่น การใช้ DR Site, การสำรองข้อมูล, และการใช้บริการคลาวด์
o การกำหนดวิธีการ (Methods Definition) กำหนดวิธีการในการกู้คืน เช่น
การใช้การสำรองข้อมูลแบบเต็ม (Full Backup) หรือการสำรองข้อมูลแบบเพิ่ม
(Incremental Backup)
Ø การประเมินความเสี่ยงและความท้าทาย (Risk and Challenge Assessment)
o การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment) ประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินการตามแผน
DR และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
o การวิเคราะห์ความท้าทาย (Challenge Analysis) ระบุความท้าทายที่อาจพบและวิธีการในการจัดการกับปัญหาเหล่านั้น
Ø การจัดทำแผนการดำเนินการ (Action Plan Development)
o การจัดทำแผนการดำเนินการ (Action Plan) จัดทำแผนการดำเนินการที่ชัดเจนและครอบคลุมทุกด้านของการกู้คืน
รวมถึงการจัดการทรัพยากร, การดำเนินงาน, และการฝึกอบรม
o การกำหนดความรับผิดชอบ (Responsibility Assignment) ระบุบทบาทและความรับผิดชอบของทีมงานในการดำเนินการตามแผน
ตัวอย่างการดำเนินการ บริษัท X ดำเนินการวิเคราะห์ความต้องการเพื่อเตรียมแผน
DR โดยเริ่มจากการสัมภาษณ์ผู้จัดการฝ่าย IT และผู้บริหารเพื่อระบุข้อมูลและระบบที่สำคัญ จากนั้นบริษัทได้กำหนด RTO
และ RPO สำหรับระบบการเงินและฐานข้อมูลลูกค้า
บริษัท X ได้ประเมินความพร้อมของทรัพยากรที่มีอยู่และพบว่าจำเป็นต้องลงทุนในฮาร์ดแวร์เพิ่มเติมเพื่อให้การกู้คืนเป็นไปอย่างราบรื่น
บริษัทได้พัฒนากลยุทธ์การกู้คืนและแผนการดำเนินการที่ครอบคลุมและจัดฝึกอบรมทีมงานเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน
เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ใช้ในการวิเคราะห์ความต้องการ
- Survey Tools เช่น SurveyMonkey หรือ Google Forms สำหรับการรวบรวมความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
- Risk Assessment
Software เช่น RiskWatch
หรือ ARMOR สำหรับการประเมินความเสี่ยง
- Business Impact
Analysis Tools เช่น BIA
software ที่มีฟีเจอร์การวิเคราะห์ผลกระทบทางธุรกิจ
- Project
Management Tools เช่น Microsoft
Project หรือ Asana สำหรับการจัดการแผนการดำเนินการ
2. การเลือกประเภทของ DR Site (Select DR Site Type)
การเลือกประเภทของ DR Site เป็นกระบวนการที่สำคัญในการวางแผนและจัดเตรียมสำหรับการกู้คืนระบบในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
การเลือกประเภทของ DR Site ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับความต้องการและข้อกำหนดขององค์กร
รวมถึงงบประมาณ, ความสามารถในการกู้คืน, และลักษณะของข้อมูลและระบบที่ต้องการปกป้อง
ประเภทของ DR Site และขั้นตอนในการเลือก
Ø DR Site Type
Definition
o Hot Site
§ รายละเอียด DR Site ที่มีการเตรียมพร้อมสำหรับการกู้คืนระบบอย่างเต็มที่
โดยมีการติดตั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่พร้อมใช้งานตลอดเวลา
§ ข้อดี การกู้คืนระบบมีความรวดเร็วและมีการเตรียมพร้อมสำหรับการทำงานทันที
§ ข้อเสีย ค่าใช้จ่ายสูงเนื่องจากต้องลงทุนในฮาร์ดแวร์, ซอฟต์แวร์,
และการบำรุงรักษา
o Warm Site
§ รายละเอียด DR Site ที่มีการเตรียมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์บางส่วนพร้อม
แต่ต้องมีการติดตั้งหรือการอัปเดตเพิ่มเติมก่อนเริ่มใช้งาน
§ ข้อดี ค่าใช้จ่ายต่ำกว่า Hot Site แต่ยังคงสามารถกู้คืนระบบได้ภายในเวลาที่รับได้
§ ข้อเสีย การกู้คืนระบบอาจใช้เวลานานกว่าการใช้ Hot Site
o Cold Site
§ รายละเอียด DR Site ที่ไม่มีฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ติดตั้งล่วงหน้า
ต้องมีการจัดหาและติดตั้งอุปกรณ์และซอฟต์แวร์เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
§ ข้อดี ค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด
เนื่องจากไม่ต้องลงทุนในฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ล่วงหน้า
§ ข้อเสีย การกู้คืนระบบอาจใช้เวลานานเนื่องจากต้องมีการติดตั้งอุปกรณ์และซอฟต์แวร์
o Cloud-Based DR Site
§ รายละเอียด DR Site ที่ใช้บริการคลาวด์สำหรับการสำรองข้อมูลและการกู้คืนระบบ
เช่น การใช้ Infrastructure as a Service (IaaS) หรือ Platform
as a Service (PaaS)
§ ข้อดี ความยืดหยุ่นในการขยายหรือปรับขนาดทรัพยากรตามความต้องการ
และค่าใช้จ่ายที่สามารถจัดการได้
§ ข้อเสีย ความปลอดภัยและการควบคุมข้อมูลอาจเป็นข้อกังวล
และต้องพึ่งพาบริการของผู้ให้บริการคลาวด์
Ø ขั้นตอนในการเลือก DR Site Type
o การประเมินความต้องการของธุรกิจ (Business Needs Assessment)
§ การวิเคราะห์ความสำคัญของข้อมูลและระบบ ระบุข้อมูลและระบบที่สำคัญสำหรับการดำเนินธุรกิจและความต้องการในการกู้คืน
§ การกำหนด RTO และ RPO กำหนด Recovery Time
Objective (RTO) และ Recovery Point Objective (RPO) เพื่อระบุความต้องการในการกู้คืน
o การประเมินงบประมาณ (Budget Assessment)
§ การประเมินค่าใช้จ่าย ประเมินค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งและการบำรุงรักษาของแต่ละประเภท
DR Site
§ การพิจารณาความคุ้มค่า เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายกับความสามารถในการกู้คืนและข้อกำหนดของธุรกิจ
o การประเมินความสามารถในการดำเนินการ (Operational Capability Assessment)
§ การประเมินการจัดการ ตรวจสอบว่าทีมงานสามารถจัดการกับประเภท DR Site ที่เลือกได้หรือไม่
§ การประเมินการสนับสนุน พิจารณาการสนับสนุนจากผู้ให้บริการและการบำรุงรักษาที่จำเป็น
o การเลือกและจัดเตรียม DR Site (Selection and Setup)
§ การเลือก DR Site Type เลือกประเภทของ DR
Site ที่ตรงกับความต้องการของธุรกิจและงบประมาณ
§ การจัดเตรียมและติดตั้ง ดำเนินการจัดเตรียมและติดตั้ง DR Site ตามที่เลือกไว้ รวมถึงการติดตั้งฮาร์ดแวร์, ซอฟต์แวร์,
และการสำรองข้อมูล
o การตรวจสอบและทดสอบ (Testing and Validation)
§ การทดสอบ DR Site ทดสอบการทำงานของ DR
Site เพื่อตรวจสอบว่าการกู้คืนระบบเป็นไปตามที่คาดหวัง
§ การตรวจสอบประสิทธิภาพ ตรวจสอบประสิทธิภาพของ DR Site และการตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน
ตัวอย่างการดำเนินการ บริษัท A เลือกใช้ Hot
Site เป็น DR Site เนื่องจากมีข้อมูลและระบบที่สำคัญที่ต้องการการกู้คืนอย่างรวดเร็ว
บริษัท A ได้ลงทุนในฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่มีความพร้อมใช้งานตลอดเวลาและได้ทดสอบการทำงานของ
DR Site อย่างสม่ำเสมอเพื่อให้แน่ใจว่าสามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ใช้ในการเลือก DR Site
- DR Site
Assessment Tools เช่น DRaaS (Disaster
Recovery as a Service) providers ที่ให้บริการประเมินและจัดการ
DR Site
- Cost-Benefit
Analysis Tools สำหรับการวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายและความคุ้มค่า
เช่น Microsoft Excel หรือ Google Sheets
- Testing Tools เช่น VMware vSphere
Replication หรือ AWS CloudEndure สำหรับการทดสอบ
DR Site
3. การเลือกสถานที่ (Site Selection)
การเลือกสถานที่ (Site Selection)
การเลือกสถานที่สำหรับ Disaster Recovery Site (DR Site) เป็นขั้นตอนสำคัญที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการกู้คืนระบบและข้อมูลขององค์กรในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
การเลือกสถานที่ที่เหมาะสมช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มความต่อเนื่องของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขั้นตอนในการเลือกสถานที่
Ø การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment)
o การตรวจสอบความเสี่ยงในพื้นที่ ตรวจสอบความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ที่คาดว่าจะใช้เป็น
DR Site เช่น ภัยธรรมชาติ (น้ำท่วม, แผ่นดินไหว,
การพายุ), การโจมตีทางไซเบอร์, หรือปัญหาด้านความปลอดภัย
o การวิเคราะห์ความเสี่ยงจากการเข้าถึง พิจารณาความเสี่ยงที่อาจเกิดจากความยากลำบากในการเข้าถึงสถานที่
เช่น การจราจร, การปิดถนน, หรือปัญหาด้านความปลอดภัยในพื้นที่
Ø การประเมินความสามารถในการเข้าถึง (Accessibility)
o การเข้าถึงทางกายภาพ ตรวจสอบความสะดวกในการเข้าถึง DR Site โดยคำนึงถึงการขนส่ง, การเข้าถึงถนนหลัก, และการมีระบบคมนาคมที่ดี
o การเข้าถึงทางเครือข่าย ตรวจสอบการเชื่อมต่อเครือข่ายที่ DR Site เช่น ความเร็วของอินเทอร์เน็ต, ความเสถียรของการเชื่อมต่อ,
และการสนับสนุนจากผู้ให้บริการเครือข่าย
Ø การตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Assessment)
o การตรวจสอบโครงสร้าง ตรวจสอบความมั่นคงของอาคารและโครงสร้างพื้นฐาน
เช่น ความแข็งแรงของพื้นฐาน, ระบบไฟฟ้า, และระบบป้องกันอัคคีภัย
o การตรวจสอบการสนับสนุนด้านเทคนิค ตรวจสอบการสนับสนุนด้านเทคนิคที่ DR Site เช่น ระบบทำความเย็น, ระบบจ่ายไฟสำรอง (UPS),
และการสำรองน้ำ
Ø การพิจารณาด้านค่าใช้จ่าย (Cost Considerations)
o การประเมินต้นทุนของสถานที่ ประเมินต้นทุนในการเช่าหรือซื้อสถานที่
รวมถึงค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงและติดตั้งระบบ
o การพิจารณาค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ประเมินค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา, การจัดการ,
และการดำเนินงานของ DR Site
Ø การพิจารณาความสามารถในการจัดการ (Management Capability)
o การตรวจสอบการจัดการ ตรวจสอบความสามารถในการจัดการสถานที่
รวมถึงการมีทีมงานที่เชี่ยวชาญในการจัดการ DR Site และการสนับสนุนด้านการบำรุงรักษา
o การพิจารณาในกรณีฉุกเฉิน ตรวจสอบความพร้อมในการจัดการสถานที่ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
เช่น การจัดการกับความเสียหายหรือการเข้าถึงในช่วงเวลาฉุกเฉิน
Ø การตรวจสอบความเข้ากันได้กับการดำเนินงาน (Operational
Compatibility)
o การตรวจสอบการเข้ากันได้กับระบบ ตรวจสอบว่าระบบและอุปกรณ์ที่ใช้ใน DR Site สามารถทำงานร่วมกับระบบที่ไซต์หลักได้อย่างไม่มีปัญหา
o การพิจารณาความเข้ากันได้ของบุคลากร ตรวจสอบว่าบุคลากรที่รับผิดชอบในการจัดการ DR Site มีความสามารถในการดำเนินงานและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
ตัวอย่างการดำเนินการ บริษัท L ที่มีสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพฯ
ได้เลือกพื้นที่ในนครราชสีมาเป็น DR Site บริษัทได้ทำการวิเคราะห์ความเสี่ยงและพบว่าพื้นที่นี้มีความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติต่ำกว่า
เช่น น้ำท่วมและแผ่นดินไหว
บริษัทได้ประเมินโครงสร้างพื้นฐานและพบว่ามีระบบไฟฟ้าและการเชื่อมต่อเครือข่ายที่เหมาะสม
รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเช่าและบำรุงรักษาที่คุ้มค่า
เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ใช้ในการเลือกสถานที่
- GIS Mapping
Tools เช่น ArcGIS
สำหรับการวิเคราะห์ความเสี่ยงในพื้นที่และการเลือกสถานที่
- Risk Management
Software เช่น RSA
Archer สำหรับการประเมินความเสี่ยงและการวิเคราะห์ข้อมูล
- Cost Analysis
Tools เช่น IBM
Planning Analytics สำหรับการประเมินต้นทุนและงบประมาณ
4. การติดตั้งและกำหนดค่า (Setup and Configuration)
การติดตั้งและกำหนดค่า (Setup and Configuration) เป็นขั้นตอนสำคัญในการจัดตั้ง Disaster Recovery Site (DR Site) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการติดตั้งระบบ, การตั้งค่าการเชื่อมต่อ,
และการจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเพื่อให้ DR Site สามารถทำงานได้ตามที่คาดหวังในกรณีเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
ขั้นตอนในการติดตั้งและกำหนดค่า
Ø การวางแผนการติดตั้ง (Installation Planning)
o การสร้างแผนติดตั้ง วางแผนการติดตั้งระบบและอุปกรณ์ต่างๆ
โดยกำหนดลำดับการติดตั้งและเวลาในการดำเนินการ
o การเตรียมความพร้อม ตรวจสอบความพร้อมของสถานที่และทรัพยากรที่จำเป็น
เช่น พื้นที่สำหรับติดตั้งอุปกรณ์, การเชื่อมต่อไฟฟ้า,
และการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม
Ø การติดตั้งอุปกรณ์ (Equipment Installation)
o การติดตั้งเซิร์ฟเวอร์และฮาร์ดแวร์ ติดตั้งเซิร์ฟเวอร์, ระบบจัดเก็บข้อมูล,
และอุปกรณ์เครือข่ายที่ DR Site
o การติดตั้งระบบสำรองพลังงาน ติดตั้งอุปกรณ์สำรองพลังงาน เช่น UPS (Uninterruptible
Power Supply) และเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเพื่อให้แน่ใจว่ามีไฟฟ้าสำรองในกรณีเกิดปัญหา
Ø การติดตั้งซอฟต์แวร์ (Software Installation)
o การติดตั้งระบบปฏิบัติการและแอปพลิเคชัน ติดตั้งระบบปฏิบัติการ, ซอฟต์แวร์ที่จำเป็น,
และแอปพลิเคชันที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจ
o การติดตั้งซอฟต์แวร์สำรองข้อมูล ติดตั้งซอฟต์แวร์สำหรับการสำรองข้อมูลและการซิงโครไนซ์ข้อมูลระหว่างไซต์หลักและ
DR Site
Ø การกำหนดค่าระบบ (System Configuration)
o การตั้งค่าการเชื่อมต่อเครือข่าย ตั้งค่าเครือข่ายให้สามารถเชื่อมต่อระหว่าง DR Site และไซต์หลัก รวมถึงการตั้งค่าการเชื่อมต่อ VPN (Virtual Private
Network) และการจัดการที่อยู่ IP
o การกำหนดค่าระบบปฏิบัติการ ตั้งค่าระบบปฏิบัติการให้เหมาะสมกับการทำงานของซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันที่ติดตั้ง
o การตั้งค่าระบบสำรองข้อมูล ตั้งค่าแผนการสำรองข้อมูลและการซิงโครไนซ์ข้อมูลให้สอดคล้องกับข้อกำหนด
RTO และ RPO
Ø การทดสอบการติดตั้ง (Installation Testing)
o การทดสอบความพร้อมใช้งาน ทดสอบความพร้อมใช้งานของระบบและอุปกรณ์ที่ติดตั้ง
เพื่อให้แน่ใจว่าทำงานได้ตามที่คาดหวัง
o การทดสอบการเชื่อมต่อ ทดสอบการเชื่อมต่อเครือข่ายและการทำงานร่วมกันระหว่าง
DR Site และไซต์หลัก
Ø การกำหนดความปลอดภัย (Security Configuration)
o การตั้งค่าการควบคุมการเข้าถึง ตั้งค่าการควบคุมการเข้าถึงระบบ เช่น
การกำหนดสิทธิ์ผู้ใช้งาน, การเข้ารหัสข้อมูล, และการตั้งค่าการตรวจสอบ
o การติดตั้งระบบป้องกันภัย ติดตั้งระบบป้องกันภัยเช่น Firewall และระบบป้องกันการบุกรุก (IDS/IPS)
Ø การสร้างเอกสารการกำหนดค่า (Configuration Documentation)
o การจัดทำเอกสารการติดตั้ง บันทึกขั้นตอนการติดตั้งและการกำหนดค่าระบบ เช่น
การตั้งค่าเครือข่าย, การติดตั้งซอฟต์แวร์, และการตั้งค่าความปลอดภัย
o การจัดเก็บเอกสาร จัดเก็บเอกสารการกำหนดค่าในที่ที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายและปลอดภัย
ตัวอย่างการดำเนินการ บริษัท M ได้จัดตั้ง DR
Site ในจังหวัดอื่น
บริษัทได้วางแผนการติดตั้งเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์เครือข่าย
รวมถึงการติดตั้งระบบสำรองข้อมูลซึ่งเชื่อมต่อกับไซต์หลักผ่าน VPN บริษัทได้ติดตั้งซอฟต์แวร์สำรองข้อมูลและตั้งค่าการซิงโครไนซ์ข้อมูลตามข้อกำหนด
RTO และ RPO จากนั้นได้ทำการทดสอบความพร้อมใช้งานของระบบและการเชื่อมต่อ
เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างทำงานได้อย่างถูกต้อง
เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ใช้ในการติดตั้งและกำหนดค่า
- VMware vSphere สำหรับการจัดการเซิร์ฟเวอร์และการตั้งค่าการสำรองข้อมูล
- Veeam Backup
& Replication สำหรับการสำรองข้อมูลและการซิงโครไนซ์ข้อมูล
- SolarWinds
Network Performance Monitor สำหรับการติดตามและจัดการเครือข่าย
- Microsoft
System Center Configuration Manager (SCCM) สำหรับการติดตั้งและจัดการซอฟต์แวร์
5. การซิงโครไนซ์ข้อมูล (Data Synchronization)
การซิงโครไนซ์ข้อมูล (Data Synchronization) เป็นกระบวนการที่สำคัญในการจัดตั้ง
Disaster Recovery Site (DR Site) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการอัปเดตและจัดการข้อมูลที่มีอยู่ใน
DR Site ให้ตรงกับข้อมูลที่อยู่ในไซต์หลัก
เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลใน DR Site เป็นข้อมูลล่าสุดและพร้อมใช้งานเมื่อต้องการ
ขั้นตอนในการซิงโครไนซ์ข้อมูล
Ø การวิเคราะห์ความต้องการการซิงโครไนซ์ (Synchronization
Needs Analysis)
o การกำหนด RPO (Recovery Point Objective) ระบุระยะเวลาที่ยอมรับได้สำหรับการสูญเสียข้อมูล
เช่น 1 ชั่วโมงหรือ 24 ชั่วโมง
o การระบุข้อมูลที่ต้องการซิงโครไนซ์ ระบุข้อมูลและระบบที่สำคัญที่ต้องการซิงโครไนซ์
เช่น ฐานข้อมูล, ไฟล์เอกสาร, หรือข้อมูลการทำธุรกรรม
Ø การเลือกวิธีการซิงโครไนซ์ (Synchronization Method Selection)
o การซิงโครไนซ์แบบเรียลไทม์ (Real-Time Synchronization) ข้อมูลจะถูกอัปเดตใน DR
Site ทันทีเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงที่ไซต์หลัก
ใช้สำหรับข้อมูลที่ต้องการความต่อเนื่องสูง
o การซิงโครไนซ์เป็นระยะ (Scheduled Synchronization) ข้อมูลจะถูกซิงโครไนซ์ตามช่วงเวลาที่กำหนด
เช่น ทุก 6 ชั่วโมง หรือทุกวัน
ใช้สำหรับข้อมูลที่ไม่ต้องการการอัปเดตแบบเรียลไทม์
o การซิงโครไนซ์ตามความต้องการ (On-Demand Synchronization) ซิงโครไนซ์ข้อมูลเมื่อมีความต้องการหรือในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
Ø การติดตั้งและกำหนดค่าเครื่องมือซิงโครไนซ์ (Synchronization Tool
Installation and Configuration)
o การเลือกเครื่องมือซิงโครไนซ์ เลือกเครื่องมือหรือซอฟต์แวร์สำหรับการซิงโครไนซ์ข้อมูล
เช่น Veeam Backup & Replication, Zerto, หรือ Microsoft
Azure Site Recovery
o การตั้งค่าการซิงโครไนซ์ กำหนดค่าการซิงโครไนซ์ข้อมูลในเครื่องมือที่เลือก
รวมถึงการตั้งค่าเวลาในการซิงโครไนซ์และข้อกำหนดในการอัปเดตข้อมูล
Ø การทดสอบการซิงโครไนซ์ (Synchronization Testing)
o การทดสอบการซิงโครไนซ์ข้อมูล ทำการทดสอบการซิงโครไนซ์ข้อมูลระหว่างไซต์หลักและ
DR Site เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลถูกอัปเดตอย่างถูกต้องและทันเวลา
o การตรวจสอบความถูกต้อง ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ซิงโครไนซ์เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลใน
DR Site ตรงกับข้อมูลที่ไซต์หลัก
Ø การตรวจสอบและบำรุงรักษา (Monitoring and Maintenance)
o การติดตามสถานะการซิงโครไนซ์ ติดตามสถานะการซิงโครไนซ์ข้อมูลและตรวจสอบความผิดพลาดหรือปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
o การบำรุงรักษาเครื่องมือซิงโครไนซ์ ทำการบำรุงรักษาเครื่องมือและซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการซิงโครไนซ์ข้อมูลเพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Ø การจัดการข้อมูลซ้ำซ้อน (Data Deduplication)
o การใช้เทคนิคการลดซ้ำซ้อน ใช้เทคนิคการลดซ้ำซ้อนข้อมูลเพื่อลดการใช้พื้นที่จัดเก็บและเพิ่มประสิทธิภาพการซิงโครไนซ์
o การตรวจสอบข้อมูลซ้ำซ้อน ตรวจสอบข้อมูลซ้ำซ้อนในระบบเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีข้อมูลที่ซ้ำซ้อนและลดการใช้ทรัพยากร
ตัวอย่างการดำเนินการ บริษัท N ได้ติดตั้งซอฟต์แวร์ Veeam
Backup & Replication เพื่อจัดการการซิงโครไนซ์ข้อมูลระหว่างศูนย์ข้อมูลหลักในกรุงเทพฯ
และ DR Site ในเชียงใหม่
บริษัทได้เลือกการซิงโครไนซ์แบบเรียลไทม์สำหรับฐานข้อมูลสำคัญและการซิงโครไนซ์เป็นระยะสำหรับไฟล์เอกสาร
โดยการตั้งค่าให้ซอฟต์แวร์ทำการอัปเดตข้อมูลทุก 15 นาที
บริษัทได้ทำการทดสอบการซิงโครไนซ์ข้อมูลเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลใน DR Site เป็นข้อมูลล่าสุดและตรงกับข้อมูลในไซต์หลัก
เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ใช้ในการซิงโครไนซ์ข้อมูล
- Veeam Backup
& Replication สำหรับการสำรองข้อมูลและการซิงโครไนซ์ข้อมูล
- Zerto สำหรับการกู้คืนข้อมูลและการซิงโครไนซ์ข้อมูลระหว่างไซต์หลักและ
DR Site
- Microsoft Azure
Site Recovery สำหรับการจัดการซิงโครไนซ์ข้อมูลบนคลาวด์และการกู้คืนระบบ
- Dell EMC Data
Domain สำหรับการจัดการการซิงโครไนซ์ข้อมูลและการลดซ้ำซ้อนข้อมูล
6. การทดสอบ DR Site (DR Site Testing)
การทดสอบ DR Site เป็นขั้นตอนสำคัญในการประเมินความพร้อมและประสิทธิภาพของ
Disaster Recovery Site (DR Site) เพื่อให้แน่ใจว่ามันสามารถดำเนินงานและกู้คืนระบบได้ตามที่คาดหวังในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
การทดสอบเหล่านี้ช่วยให้สามารถตรวจจับปัญหาและข้อบกพร่องก่อนที่เกิดเหตุการณ์จริง
ประเภทของการทดสอบ DR Site
Ø การทดสอบแบบเปิดเผย (Full Interruption Test)
o การทดสอบการดำเนินงานจริง ทำการทดสอบโดยการหยุดการดำเนินงานของไซต์หลักและสลับการทำงานทั้งหมดไปยัง
DR Site เพื่อให้แน่ใจว่า DR Site สามารถรองรับการดำเนินงานทั้งหมดได้
o การวิเคราะห์ผลกระทบ ตรวจสอบการทำงานของระบบใน DR Site, เวลาในการกู้คืน, และการจัดการข้อมูล
เพื่อประเมินความสามารถในการจัดการสถานการณ์จริง
Ø การทดสอบแบบจำลอง (Simulation Test)
o การสร้างสถานการณ์จำลอง สร้างสถานการณ์จำลองที่อาจเกิดขึ้นในกรณีฉุกเฉิน
เช่น ระบบล่มหรือเกิดภัยธรรมชาติ เพื่อทดสอบการตอบสนองและการกู้คืน
o การวิเคราะห์การตอบสนอง ตรวจสอบความสามารถของทีมงานในการจัดการสถานการณ์จำลอง, ความสามารถในการสลับไปยัง
DR Site, และการสื่อสารภายในทีม
Ø การทดสอบแบบเปรียบเทียบ (Parallel Test)
o การทดสอบพร้อมกัน ดำเนินการทดสอบการทำงานของระบบใน DR Site พร้อมกันกับการทำงานปกติของไซต์หลัก โดยไม่หยุดการดำเนินงานของไซต์หลัก
o การตรวจสอบความเข้ากันได้ ตรวจสอบความสามารถของ DR Site ในการทำงานร่วมกับระบบปัจจุบัน และการซิงโครไนซ์ข้อมูลระหว่างไซต์หลักและ DR
Site
Ø การทดสอบแบบแยกส่วน (Partial Test)
o การทดสอบบางส่วน ทดสอบบางส่วนของระบบหรือการทำงานเฉพาะ เช่น
การสำรองข้อมูลหรือการกู้คืนฐานข้อมูล โดยไม่ต้องทดสอบระบบทั้งหมด
o การประเมินผล ประเมินความสามารถในการดำเนินการของส่วนที่ทดสอบและการจัดการข้อบกพร่องที่อาจเกิดขึ้น
Ø การทดสอบความพร้อมของระบบสำรอง (Backup Readiness Test)
o การทดสอบการสำรองข้อมูล ทดสอบการกู้คืนข้อมูลจากสำรองข้อมูลที่เก็บไว้ใน
DR Site เพื่อตรวจสอบความสมบูรณ์และความทันสมัยของข้อมูล
o การตรวจสอบการกู้คืน ตรวจสอบกระบวนการกู้คืนข้อมูลจากสำรองข้อมูลและการทำงานร่วมกับระบบหลัก
ขั้นตอนการทดสอบ DR Site
Ø การวางแผนการทดสอบ (Testing Planning)
o การกำหนดขอบเขตการทดสอบ ระบุประเภทและขอบเขตของการทดสอบที่ต้องดำเนินการ
รวมถึงการกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายของการทดสอบ
o การจัดทำแผนการทดสอบ วางแผนการทดสอบอย่างละเอียด
รวมถึงกำหนดเวลาการทดสอบ, ทีมงานที่เกี่ยวข้อง, และการจัดการข้อบกพร่อง
Ø การดำเนินการทดสอบ (Test Execution)
o การดำเนินการตามแผน ทำการทดสอบตามแผนที่กำหนดไว้และติดตามผลการดำเนินการอย่างใกล้ชิด
o การบันทึกข้อมูล บันทึกผลการทดสอบและข้อสังเกตที่เกิดขึ้นระหว่างการทดสอบ
Ø การวิเคราะห์ผลลัพธ์ (Results Analysis)
o การประเมินผลการทดสอบ วิเคราะห์ผลการทดสอบเพื่อประเมินความสามารถในการกู้คืนระบบ, ความพร้อมของ
DR Site, และปัญหาที่พบ
o การระบุข้อบกพร่อง ระบุข้อบกพร่องและปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการทดสอบและแนะนำวิธีการแก้ไข
Ø การปรับปรุงแผน (Plan Improvement)
o การปรับปรุงแผน DR อัปเดตแผน Disaster
Recovery ตามข้อบกพร่องและผลการวิเคราะห์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความพร้อมของ
DR Site
o การสื่อสารผล รายงานผลการทดสอบให้แก่ทีมงานและผู้บริหารเพื่อให้แน่ใจว่าทุกฝ่ายมีความเข้าใจเกี่ยวกับข้อบกพร่องและการแก้ไขที่ต้องทำ
ตัวอย่างการดำเนินการ บริษัท P ทำการทดสอบ DR
Site โดยการทดสอบแบบเปรียบเทียบ
โดยทำการทดสอบการสำรองข้อมูลและการกู้คืนฐานข้อมูลจาก DR Site ในขณะที่ไซต์หลักยังคงดำเนินการอยู่
บริษัทได้สร้างสถานการณ์จำลองที่มีการล่มของระบบและตรวจสอบการตอบสนองของทีมงานในการสลับไปยัง
DR Site ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่าการกู้คืนทำได้อย่างรวดเร็วและข้อมูลมีความทันสมัย
เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ใช้ในการทดสอบ DR Site
- Veeam Backup
& Replication สำหรับการทดสอบการสำรองข้อมูลและการกู้คืน
- Zerto สำหรับการทดสอบการกู้คืนและการทำงานร่วมกันของ
DR Site
- Microsoft Azure
Site Recovery สำหรับการทดสอบการกู้คืนระบบและการจัดการการสำรองข้อมูล
- DRaaS (Disaster
Recovery as a Service) Providers เช่น AWS Disaster
Recovery หรือ Google Cloud Disaster Recovery สำหรับการทดสอบการกู้คืนระบบบนคลาวด์
7. การบำรุงรักษาและอัปเดต (Maintenance and Updates)
การบำรุงรักษาและอัปเดตเป็นขั้นตอนสำคัญในการรักษาความพร้อมและประสิทธิภาพของ
Disaster Recovery Site (DR Site) เพื่อให้แน่ใจว่า DR
Site ยังคงสามารถทำงานได้ตามที่คาดหวังและพร้อมสำหรับการกู้คืนระบบในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
การบำรุงรักษาและอัปเดตช่วยป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงในระบบหรือเทคโนโลยีที่ใช้
ขั้นตอนในการบำรุงรักษาและอัปเดต
Ø การตรวจสอบและบำรุงรักษา (Regular Monitoring and Maintenance)
o การตรวจสอบสุขภาพระบบ (System Health Monitoring) ตรวจสอบสภาพการทำงานของเซิร์ฟเวอร์,
ระบบเครือข่าย, และอุปกรณ์ที่ใช้ใน DR
Site เพื่อให้แน่ใจว่าทำงานได้ตามปกติ
o การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance) ดำเนินการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน
เช่น การตรวจสอบฮาร์ดแวร์, การทำความสะอาด, และการอัปเดตซอฟต์แวร์ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
Ø การอัปเดตซอฟต์แวร์และระบบ (Software and System Updates)
o การอัปเดตซอฟต์แวร์ อัปเดตซอฟต์แวร์ที่ใช้ใน DR Site เช่น ระบบปฏิบัติการ, แอปพลิเคชัน, และซอฟต์แวร์สำรองข้อมูล
เพื่อลดความเสี่ยงจากช่องโหว่ด้านความปลอดภัยและเพิ่มประสิทธิภาพ
o การอัปเดตระบบปฏิบัติการ ตรวจสอบและติดตั้งการอัปเดตล่าสุดของระบบปฏิบัติการเพื่อป้องกันปัญหาด้านความปลอดภัยและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
Ø การตรวจสอบการสำรองข้อมูล (Backup Verification)
o การตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูล ตรวจสอบการสำรองข้อมูลเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลถูกสำรองอย่างถูกต้องและสามารถกู้คืนได้
o การทดสอบการกู้คืนข้อมูล ทำการทดสอบการกู้คืนข้อมูลจากสำรองข้อมูลเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลสามารถกู้คืนได้ตามที่คาดหวัง
Ø การอัปเดตแผน DR (DR Plan Updates)
o การปรับปรุงแผน DR อัปเดตแผน Disaster
Recovery ตามการเปลี่ยนแปลงในระบบ, เทคโนโลยี,
และข้อกำหนดธุรกิจ
o การปรับปรุงแผนการซิงโครไนซ์ อัปเดตแผนการซิงโครไนซ์ข้อมูลเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในข้อมูลและระบบ
Ø การฝึกอบรมและทดสอบ (Training and Testing)
o การฝึกอบรมทีมงาน ฝึกอบรมทีมงานเกี่ยวกับการอัปเดตแผน DR และการดำเนินการที่จำเป็นในกรณีฉุกเฉิน
o การทดสอบการดำเนินการ ทดสอบการดำเนินการตามแผน DR และการใช้เครื่องมือที่อัปเดตเพื่อให้แน่ใจว่าทีมงานสามารถจัดการกับสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Ø การจัดการข้อบกพร่อง (Issue Management)
o การติดตามและบันทึกข้อบกพร่อง ติดตามและบันทึกข้อบกพร่องที่พบระหว่างการบำรุงรักษาหรือการทดสอบ
o การดำเนินการแก้ไข ดำเนินการแก้ไขปัญหาที่พบและปรับปรุงระบบเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต
Ø การสื่อสารและรายงาน (Communication and Reporting)
o การสื่อสารกับทีมงาน สื่อสารเกี่ยวกับการบำรุงรักษาและการอัปเดตให้กับทีมงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้แน่ใจว่าทุกฝ่ายมีความเข้าใจตรงกัน
o การรายงานผล รายงานผลการบำรุงรักษาและการอัปเดตให้กับผู้บริหารเพื่อให้แน่ใจว่ามีการติดตามและการจัดการอย่างเหมาะสม
ตัวอย่างการดำเนินการ บริษัท Q ทำการบำรุงรักษา DR
Site โดยการตรวจสอบสภาพการทำงานของเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์เครือข่ายทุกเดือน
บริษัทได้อัปเดตระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์สำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ
รวมถึงการตรวจสอบการสำรองข้อมูลและการทดสอบการกู้คืนข้อมูล บริษัทได้ปรับปรุงแผน DR
ตามการเปลี่ยนแปลงในระบบและเทคโนโลยี
และได้จัดฝึกอบรมให้กับทีมงานเพื่อให้พร้อมสำหรับการจัดการสถานการณ์ฉุกเฉิน
เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ใช้ในการบำรุงรักษาและอัปเดต
- Nagios สำหรับการตรวจสอบสุขภาพของระบบและเซิร์ฟเวอร์
- Splunk สำหรับการตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลระบบ
- Veeam Backup
& Replication สำหรับการจัดการสำรองข้อมูลและการกู้คืน
- Puppet/Chef/Ansible
สำหรับการจัดการการอัปเดตซอฟต์แวร์และการกำหนดค่าระบบ
8. การฝึกอบรมพนักงาน (Employee Training)
การฝึกอบรมพนักงานเป็นกระบวนการสำคัญในการเตรียมความพร้อมให้กับทีมงานในกรณีที่ต้องใช้
Disaster Recovery Site (DR Site) หรือในสถานการณ์ฉุกเฉินอื่นๆ
เพื่อให้พนักงานมีความรู้และทักษะในการดำเนินการตามแผน Disaster Recovery
(DR) และรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้น
ขั้นตอนการฝึกอบรมพนักงาน
Ø การวิเคราะห์ความต้องการการฝึกอบรม (Training Needs Analysis)
o การประเมินความรู้และทักษะปัจจุบัน วิเคราะห์ความรู้และทักษะที่พนักงานมีอยู่แล้วเกี่ยวกับการกู้คืนระบบและการจัดการสถานการณ์ฉุกเฉิน
o การระบุข้อกำหนดการฝึกอบรม ระบุข้อกำหนดที่ต้องการสำหรับการฝึกอบรม เช่น
ความรู้เกี่ยวกับแผน DR, การใช้เครื่องมือ DR, และบทบาทและความรับผิดชอบของพนักงาน
Ø การพัฒนาแผนการฝึกอบรม (Training Plan Development)
o การกำหนดวัตถุประสงค์การฝึกอบรม กำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายของการฝึกอบรม เช่น
การเข้าใจแผน DR, การปฏิบัติตามขั้นตอนการกู้คืน, และการใช้เครื่องมือที่เกี่ยวข้อง
o การออกแบบเนื้อหาการฝึกอบรม ออกแบบเนื้อหาการฝึกอบรมที่ครอบคลุมหัวข้อที่สำคัญ
เช่น การกู้คืนระบบ, การซิงโครไนซ์ข้อมูล, และการจัดการเหตุการณ์ฉุกเฉิน
Ø การดำเนินการฝึกอบรม (Training Delivery)
o การใช้วิธีการฝึกอบรมที่หลากหลาย ใช้วิธีการฝึกอบรมที่หลากหลาย เช่น
การอบรมในห้องเรียน, การฝึกอบรมออนไลน์, การจำลองสถานการณ์,
และการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติ
o การจัดการการฝึกอบรม จัดการการฝึกอบรมตามแผนที่กำหนด
รวมถึงการจัดสรรเวลา, สถานที่, และอุปกรณ์ที่จำเป็น
Ø การประเมินผลการฝึกอบรม (Training Evaluation)
o การประเมินความเข้าใจ ประเมินความเข้าใจของพนักงานเกี่ยวกับเนื้อหาการฝึกอบรมผ่านการสอบ, การทดสอบ,
หรือการประเมินผลปฏิบัติ
o การรวบรวมข้อเสนอแนะแบบทบทวน รวบรวมข้อเสนอแนะจากพนักงานเกี่ยวกับการฝึกอบรมเพื่อปรับปรุงการฝึกอบรมในอนาคต
Ø การทบทวนและปรับปรุง (Review and Improvement)
o การทบทวนเนื้อหาการฝึกอบรม ทบทวนและปรับปรุงเนื้อหาการฝึกอบรมตามข้อเสนอแนะแบบทบทวนและการเปลี่ยนแปลงในแผน
DR หรือเทคโนโลยี
o การวางแผนการฝึกอบรมเพิ่มเติม วางแผนการฝึกอบรมเพิ่มเติมหากจำเป็น เช่น
การฝึกอบรมเสริม หรือการอัปเดตการฝึกอบรมตามการเปลี่ยนแปลงในระบบ
Ø การฝึกอบรมทีมงาน (Team Training)
o การฝึกอบรมบทบาทและความรับผิดชอบ ฝึกอบรมทีมงานเกี่ยวกับบทบาทและความรับผิดชอบของแต่ละบุคคลในการดำเนินการตามแผน
DR
o การจำลองสถานการณ์ ทำการจำลองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงเพื่อให้ทีมงานได้ฝึกฝนการตอบสนองและการปฏิบัติตามแผน
DR
Ø การสร้างความตระหนัก (Awareness Building)
o การสร้างความตระหนัก สร้างความตระหนักให้กับพนักงานเกี่ยวกับความสำคัญของแผน
DR และการมีส่วนร่วมในการรักษาความต่อเนื่องของธุรกิจ
o การสื่อสารอย่างต่อเนื่อง สื่อสารเกี่ยวกับการฝึกอบรม, การเปลี่ยนแปลงในแผน
DR, และข้อมูลที่สำคัญให้กับพนักงานอย่างต่อเนื่อง
ตัวอย่างการดำเนินการ บริษัท X ดำเนินการฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับแผน
DR โดยจัดการอบรมในห้องเรียนและการฝึกอบรมออนไลน์
บริษัทได้ออกแบบเนื้อหาการฝึกอบรมที่ครอบคลุมการกู้คืนระบบ, การซิงโครไนซ์ข้อมูล,
และการจัดการเหตุการณ์ฉุกเฉิน
การฝึกอบรมมีทั้งการสอนทฤษฎีและการจำลองสถานการณ์จริง
รวมถึงการประเมินความเข้าใจของพนักงานผ่านการสอบและการทดสอบปฏิบัติ
บริษัทได้รวบรวมข้อเสนอแนะแบบทบทวนเพื่อปรับปรุงการฝึกอบรมในอนาคต
เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ใช้ในการฝึกอบรม
- LMS (Learning
Management System) เช่น Moodle,
Blackboard สำหรับการฝึกอบรมออนไลน์และการติดตามความก้าวหน้าของพนักงาน
- Simulations and
Training Software เช่น SANS
Institute’s NetWars, Cyberbit Range สำหรับการจำลองสถานการณ์และการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติ
- E-Learning
Tools เช่น Coursera,
Udemy สำหรับการฝึกอบรมออนไลน์และหลักสูตรที่เกี่ยวข้อง
9. การตรวจสอบและประเมินผล (Monitoring and
Evaluation)
การตรวจสอบและประเมินผลเป็นกระบวนการที่สำคัญในการประเมินประสิทธิภาพและความพร้อมของ
Disaster Recovery Site (DR Site) รวมถึงการประเมินประสิทธิภาพของแผน
Disaster Recovery (DR Plan) เพื่อให้แน่ใจว่ามีการตอบสนองที่มีประสิทธิภาพในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
การตรวจสอบและประเมินผลช่วยให้สามารถติดตามความก้าวหน้า, ระบุปัญหา,
และปรับปรุงกระบวนการให้ดีขึ้น
ขั้นตอนในการตรวจสอบและประเมินผล
Ø การกำหนดตัวชี้วัดประสิทธิภาพ (Performance Metrics Definition)
o การกำหนด KPI (Key Performance Indicators) กำหนดตัวชี้วัดหลักที่ใช้ในการประเมินความสำเร็จของแผน
DR เช่น เวลาการกู้คืน (Recovery Time), จุดที่กู้คืนข้อมูล (Recovery Point), และความแม่นยำในการดำเนินการ
o การระบุเกณฑ์การประเมิน กำหนดเกณฑ์ที่ใช้ในการประเมินประสิทธิภาพ เช่น
เป้าหมายเวลาในการกู้คืนและการปฏิบัติตามแผน
Ø การติดตามและตรวจสอบ (Monitoring and Tracking)
o การติดตามประสิทธิภาพ ใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีในการติดตามประสิทธิภาพของ
DR Site และแผน DR เช่น
การตรวจสอบสถานะระบบ, การตรวจสอบการสำรองข้อมูล, และการติดตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
o การรวบรวมข้อมูล รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามแผน
DR และการทำงานของ DR Site เช่น
เวลาที่ใช้ในการกู้คืน, ความสมบูรณ์ของข้อมูลที่กู้คืน,
และปัญหาที่พบ
Ø การประเมินผล (Evaluation)
o การวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลที่รวบรวมมาเพื่อตรวจสอบว่าประสิทธิภาพเป็นไปตามที่คาดหวังและตรวจสอบความสามารถในการกู้คืนระบบ
o การประเมินการปฏิบัติตามแผน ประเมินว่าการดำเนินการตามแผน DR เป็นไปตามที่กำหนดไว้หรือไม่
และตรวจสอบความสอดคล้องกับมาตรฐานที่ตั้งไว้
Ø การระบุปัญหาและข้อบกพร่อง (Issue Identification)
o การตรวจสอบข้อบกพร่อง ระบุปัญหาและข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นระหว่างการดำเนินการตามแผน
DR และการทำงานของ DR Site
o การวิเคราะห์สาเหตุ วิเคราะห์สาเหตุของปัญหาเพื่อหาแนวทางในการแก้ไขและปรับปรุงกระบวนการ
Ø การปรับปรุงแผน DR (Plan Improvement)
o การปรับปรุงแผน ปรับปรุงแผน DR ตามข้อบกพร่องที่พบและผลการประเมินเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความพร้อมของ
DR Site
o การอัปเดตข้อมูล อัปเดตข้อมูลและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับแผน DR เพื่อให้แน่ใจว่ามีการสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงและข้อบกพร่องที่แก้ไข
Ø การจัดทำรายงาน (Reporting)
o การรายงานผล จัดทำรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลให้กับผู้บริหารและทีมงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้ทุกฝ่ายมีความเข้าใจเกี่ยวกับประสิทธิภาพของแผน DR และปัญหาที่พบ
o การนำเสนอข้อเสนอแนะ นำเสนอข้อเสนอแนะในการปรับปรุงและแนวทางการแก้ไขเพื่อเพิ่มความพร้อมและประสิทธิภาพ
Ø การฝึกอบรมเพิ่มเติม (Additional Training)
o การฝึกอบรมตามผลการประเมิน จัดการฝึกอบรมเพิ่มเติมสำหรับทีมงานตามข้อบกพร่องและข้อเสนอแนะที่ได้จากการประเมินผล
o การเสริมสร้างทักษะ เสริมสร้างทักษะและความรู้ที่จำเป็นเพื่อให้ทีมงานพร้อมสำหรับการจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินในอนาคต
ตัวอย่างการดำเนินการ บริษัท Y ทำการตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินการตามแผน
DR ทุกไตรมาส บริษัทได้กำหนดตัวชี้วัดประสิทธิภาพ เช่น
เวลาการกู้คืนข้อมูลและความแม่นยำในการกู้คืน
จากนั้นใช้เครื่องมือการติดตามเพื่อรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ผลการดำเนินการ
พบข้อบกพร่องบางประการที่เกี่ยวกับเวลาในการกู้คืน บริษัทได้ปรับปรุงแผน DR
และจัดฝึกอบรมเพิ่มเติมให้กับทีมงานเพื่อแก้ไขปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการ
เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ใช้ในการตรวจสอบและประเมินผล
- Nagios / Zabbix
สำหรับการติดตามสถานะระบบและเซิร์ฟเวอร์
- Splunk / ELK
Stack สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลและการติดตามเหตุการณ์
- Veeam ONE สำหรับการตรวจสอบและรายงานผลการสำรองข้อมูล
- ServiceNow สำหรับการจัดการข้อบกพร่องและการติดตามการดำเนินการ
10. การจัดทำเอกสาร (Documentation)
การจัดทำเอกสารเป็นกระบวนการที่สำคัญในการสร้างและจัดการเอกสารที่เกี่ยวข้องกับ
Disaster Recovery (DR) เพื่อให้มีข้อมูลที่ชัดเจน, ครบถ้วน, และสามารถเข้าถึงได้ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
เอกสารที่ดีช่วยให้การกู้คืนระบบเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
ขั้นตอนในการจัดทำเอกสาร
Ø การกำหนดประเภทเอกสาร (Document Types Definition)
o แผน DR (DR Plan) เอกสารที่ระบุขั้นตอนและกลยุทธ์ในการกู้คืนระบบและธุรกิจ
รวมถึงบทบาทและความรับผิดชอบของทีมงาน
o เอกสารการสำรองข้อมูล (Backup Documentation) รายละเอียดเกี่ยวกับกระบวนการสำรองข้อมูล,
ตำแหน่งการจัดเก็บ, และความถี่ในการสำรองข้อมูล
o เอกสารการทดสอบ (Testing Documentation) รายงานผลการทดสอบแผน DR และการทดสอบ DR Site รวมถึงข้อเสนอแนะแก้ไข
Ø การจัดทำเอกสารแผน DR (DR Plan Documentation)
o การระบุข้อมูลพื้นฐาน (Basic Information) รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับองค์กร,
โครงสร้างทีมงาน, และข้อมูลติดต่อที่สำคัญ
o การกำหนดขั้นตอนการกู้คืน (Recovery Procedures) ระบุขั้นตอนการกู้คืนสำหรับระบบและบริการที่สำคัญ
รวมถึงลำดับการดำเนินการและเวลาที่คาดการณ์
o การระบุทรัพยากรที่จำเป็น (Resource Requirements) รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับทรัพยากรที่จำเป็น
เช่น ฮาร์ดแวร์, ซอฟต์แวร์, และบุคลากร
Ø การจัดทำเอกสารการสำรองข้อมูล (Backup Documentation)
o รายละเอียดการสำรองข้อมูล (Backup Details) ระบุประเภทของข้อมูลที่สำรอง,
วิธีการสำรอง, และความถี่ในการสำรองข้อมูล
o แผนการจัดเก็บ (Storage Plan) รายละเอียดเกี่ยวกับตำแหน่งที่จัดเก็บข้อมูลสำรอง
เช่น สถานที่จัดเก็บในสถานที่ทางกายภาพหรือการจัดเก็บในคลาวด์
o การกู้คืนข้อมูล (Data Recovery Procedures) ขั้นตอนในการกู้คืนข้อมูลจากการสำรอง
รวมถึงการตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูลที่กู้คืน
Ø การจัดทำเอกสารการทดสอบ (Testing Documentation)
o แผนการทดสอบ (Testing Plan) รายละเอียดเกี่ยวกับแผนการทดสอบ
เช่น วิธีการทดสอบ, กำหนดเวลา, และขอบเขตการทดสอบ
o รายงานผลการทดสอบ (Test Results Report) รายงานผลการทดสอบรวมถึงข้อค้นพบ,
ปัญหาที่พบ, และข้อเสนอแนะแก้ไข
o แผนการแก้ไข (Remediation Plan) การวางแผนและการดำเนินการเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องที่พบจากการทดสอบ
Ø การจัดทำเอกสารการฝึกอบรม (Training Documentation)
o เนื้อหาการฝึกอบรม (Training Content) รายละเอียดเกี่ยวกับเนื้อหาการฝึกอบรมที่ครอบคลุมหัวข้อสำคัญ
เช่น การกู้คืนระบบ, การใช้เครื่องมือ DR, และบทบาทของพนักงาน
o คู่มือการฝึกอบรม (Training Manuals) คู่มือที่ให้คำแนะนำและขั้นตอนที่ชัดเจนสำหรับการฝึกอบรมพนักงาน
Ø การจัดทำเอกสารการบำรุงรักษา (Maintenance Documentation)
o ตารางการบำรุงรักษา (Maintenance Schedule) รายละเอียดเกี่ยวกับตารางเวลาและกิจกรรมการบำรุงรักษาที่ต้องดำเนินการ
o บันทึกการบำรุงรักษา (Maintenance Logs) บันทึกกิจกรรมการบำรุงรักษาและการอัปเดตที่ทำ
Ø การตรวจสอบและอัปเดตเอกสาร (Document Review and Update)
o การตรวจสอบเอกสาร (Document Review) ตรวจสอบเอกสารเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลยังคงเป็นปัจจุบันและสอดคล้องกับแผน
DR
o การอัปเดตเอกสาร (Document Update) อัปเดตเอกสารตามการเปลี่ยนแปลงในระบบ,
กระบวนการ, และข้อกำหนดใหม่
ตัวอย่างการดำเนินการ บริษัท Z จัดทำเอกสารแผน DR
โดยมีการระบุขั้นตอนการกู้คืนที่ชัดเจนและทรัพยากรที่จำเป็น
บริษัทได้สร้างเอกสารการสำรองข้อมูลที่รวมรายละเอียดการสำรองข้อมูลและแผนการจัดเก็บ
ขณะเดียวกัน บริษัทได้จัดทำเอกสารการทดสอบที่บันทึกผลการทดสอบและข้อเสนอแนะแก้ไข
เอกสารทั้งหมดได้รับการตรวจสอบและอัปเดตอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในระบบและเทคโนโลยี
เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ใช้ในการจัดทำเอกสาร
- Microsoft Word
/ Google Docs สำหรับการสร้างและจัดการเอกสาร
- SharePoint /
Confluence สำหรับการจัดเก็บเอกสารและการทำงานร่วมกัน
- DocuSign สำหรับการลงนามและการจัดการเอกสารที่ต้องการลายเซ็น
- Evernote / Notion สำหรับการบันทึกและจัดระเบียบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับแผน DR