วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2567

Just in Time (JIT) แนวทางการบริหารจัดการที่มุ่งเน้นการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต

 เทคนิค Just in Time (JIT) เป็นแนวทางการบริหารจัดการที่มุ่งเน้นการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต โดยการผลิตหรือจัดหาวัตถุดิบจะทำก็ต่อเมื่อมีความต้องการเกิดขึ้นจริงเท่านั้น แนวคิดนี้เกิดขึ้นครั้งแรกในอุตสาหกรรมยานยนต์ของญี่ปุ่น โดยเฉพาะกับบริษัท Toyota ที่นำเทคนิค JIT มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและลดการสูญเสียจากการจัดเก็บสต็อกเกินความจำเป็น

หลักการสำคัญของ JIT

1.      ผลิตตามความต้องการ (Demand-Driven Production)
ในระบบ JIT การผลิตจะเกิดขึ้นเฉพาะเมื่อมีคำสั่งซื้อหรือต้องการสินค้าเท่านั้น ไม่ผลิตล่วงหน้าหรือเก็บสต็อกมากเกินไป ทำให้ลดการเสียเวลาจัดเก็บและลดการใช้พื้นที่

2.      การลดสต็อก (Minimizing Inventory)
วัตถุดิบและสินค้าจะถูกจัดหาหรือผลิตเมื่อจำเป็น ส่งผลให้สต็อกสินค้าคงคลังมีน้อยที่สุด ลดการถือสต็อกที่เกินความจำเป็นซึ่งเป็นต้นทุนที่สูง

3.      การปรับปรุงกระบวนการอย่างต่อเนื่อง (Continuous Improvement - Kaizen)
เทคนิค JIT ส่งเสริมการปรับปรุงกระบวนการผลิตอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและลดของเสีย (Waste) ในทุกขั้นตอน

4.      ความร่วมมือกับซัพพลายเออร์ (Supplier Collaboration)
การทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์อย่างใกล้ชิดเป็นปัจจัยสำคัญใน JIT ซัพพลายเออร์ต้องสามารถส่งมอบวัตถุดิบได้ตามเวลาที่ต้องการและมีคุณภาพตรงตามที่กำหนดเพื่อไม่ให้กระบวนการผลิตหยุดชะงัก

ตัวอย่างการนำ JIT ไปใช้ในอุตสาหกรรม

1.      อุตสาหกรรมยานยนต์ (Automotive Industry)
บริษัท Toyota เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการนำ JIT มาใช้ โดยจะผลิตรถยนต์เมื่อมีคำสั่งซื้อเข้ามาและจัดหาชิ้นส่วนเมื่อจำเป็น ซึ่งทำให้บริษัทลดต้นทุนการจัดเก็บและเพิ่มความคล่องตัวในการผลิต

2.      อุตสาหกรรมอาหาร (Food Industry)
ในร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด เช่น McDonald's มีการใช้ JIT โดยสต็อกวัตถุดิบในปริมาณที่จำเป็นเท่านั้นและปรุงอาหารเมื่อมีคำสั่งซื้อ เพื่อให้สินค้าใหม่ สด และลดการสูญเสียจากการหมดอายุ

3.      อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics Industry)
บริษัท Dell ใช้ JIT ในการประกอบคอมพิวเตอร์ตามคำสั่งซื้อของลูกค้าโดยตรง โดยไม่เก็บสต็อกคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปในปริมาณมาก ลดต้นทุนการจัดเก็บและเพิ่มความยืดหยุ่นในการตอบสนองต่อความต้องการเฉพาะของลูกค้า

ข้อดีของ JIT

  • ลดต้นทุนการจัดเก็บและสต็อกสินค้า
  • เพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต
  • ลดของเสียและการสูญเสียในกระบวนการ
  • เพิ่มความคล่องตัวในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า

ข้อจำกัดของ JIT

  • พึ่งพาซัพพลายเออร์สูง  หากซัพพลายเออร์ไม่สามารถส่งมอบได้ทันเวลา กระบวนการผลิตจะหยุดชะงัก
  • ความเสี่ยงในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงความต้องการอย่างรวดเร็ว
  • ต้องมีระบบการจัดการที่แม่นยำและการประสานงานที่ดีระหว่างแผนกต่าง ๆ

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น