Disaster Recovery (DR) คืออะไร
Disaster Recovery (DR) คือกระบวนการและชุดของขั้นตอนที่ออกแบบมาเพื่อกู้คืนและฟื้นฟูระบบ
IT, ข้อมูล, และการดำเนินธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด
เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ, การโจมตีทางไซเบอร์, หรือความล้มเหลวของระบบอย่างรุนแรง วัตถุประสงค์หลักของ DR คือการทำให้ธุรกิจสามารถกลับมาดำเนินการได้เร็วที่สุดโดยมีผลกระทบต่อน้อยที่สุด
องค์ประกอบหลักของ Disaster Recovery
1. การประเมินความเสี่ยง
(Risk Assessment) การระบุและวิเคราะห์ภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น
ซึ่งจะมีผลกระทบต่อระบบและข้อมูลขององค์กร เช่น การโจมตีทางไซเบอร์, ไฟไหม้, น้ำท่วม เป็นต้น
การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment)
การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment) คือกระบวนการในการระบุ
วิเคราะห์ และประเมินความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานขององค์กร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับระบบ IT และข้อมูล
วัตถุประสงค์หลักของการประเมินความเสี่ยงคือการทำความเข้าใจถึงความเสี่ยงที่องค์กรเผชิญ
เพื่อที่จะสามารถพัฒนากลยุทธ์และมาตรการในการลดผลกระทบเหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขั้นตอนสำคัญในการประเมินความเสี่ยง
· การระบุความเสี่ยง (Risk Identification)
การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น
เช่น การโจมตีทางไซเบอร์, ภัยพิบัติทางธรรมชาติ, การทำงานผิดพลาดของฮาร์ดแวร์ หรือการเกิดไฟฟ้าดับ
· การวิเคราะห์ความเสี่ยง
(Risk Analysis) การวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากความเสี่ยงเหล่านั้น
โดยพิจารณาถึงความรุนแรงและความเป็นไปได้ในการเกิดเหตุ
· การประเมินความเสี่ยง
(Risk Evaluation) การจัดลำดับความสำคัญของความเสี่ยง
โดยพิจารณาถึงความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดสูงและมีผลกระทบรุนแรง
เพื่อกำหนดมาตรการป้องกันและแผนรับมือ
· การกำหนดมาตรการลดความเสี่ยง
(Risk Mitigation) การพัฒนาและดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเพื่อควบคุมและลดความเสี่ยง
เช่น การติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติม, การเพิ่มการสำรองข้อมูล,
หรือการจัดทำแผน Disaster Recovery
· การตรวจสอบและติดตามผล
(Monitoring and Review) การตรวจสอบและติดตามความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง
เพื่อปรับปรุงแผนและมาตรการป้องกันตามความจำเป็น
ตัวอย่างการดำเนินการ บริษัท B ทำการประเมินความเสี่ยงโดยเริ่มจากการจัดทำรายการภัยคุกคามที่อาจส่งผลต่อระบบข้อมูล
เช่น การโจมตี DDoS, การรั่วไหลของข้อมูล
หรือความเสียหายจากไฟไหม้
จากนั้นทำการวิเคราะห์ผลกระทบและความเป็นไปได้ในการเกิดเหตุ
ซึ่งส่งผลให้บริษัทได้ตัดสินใจลงทุนในระบบสำรองข้อมูลและการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์เพิ่มขึ้น
เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินความเสี่ยง
- NIST Risk
Management Framework (RMF) กรอบการทำงานที่ช่วยในการระบุ
วิเคราะห์ และจัดการความเสี่ยงในองค์กร
- ISO 31000 มาตรฐานสากลสำหรับการบริหารจัดการความเสี่ยง
ที่ใช้ในการพัฒนาแนวทางและวิธีการปฏิบัติในการประเมินความเสี่ยง
- RiskWatch ซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการระบุและวิเคราะห์ความเสี่ยง
พร้อมทั้งจัดทำรายงานการประเมินความเสี่ยง
2. แผนการสำรองข้อมูล
(Data Backup Plan) การจัดทำแผนการสำรองข้อมูลอย่างเป็นระเบียบและสม่ำเสมอ
เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถกู้คืนข้อมูลที่สำคัญได้ในกรณีที่เกิดการสูญเสีย
แผนการสำรองข้อมูล (Data Backup Plan) คือชุดของกระบวนการและขั้นตอนที่กำหนดขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลสำคัญขององค์กรได้รับการสำรองอย่างปลอดภัยและสามารถกู้คืนได้เมื่อเกิดความสูญเสียหรือความเสียหาย
วัตถุประสงค์หลักของแผนนี้คือการป้องกันการสูญเสียข้อมูลถาวร
และลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อการดำเนินงานขององค์กร
องค์ประกอบหลักของแผนการสำรองข้อมูล
· การระบุข้อมูลสำคัญ (Data Identification)
การระบุประเภทของข้อมูลที่จำเป็นต้องสำรอง
เช่น ฐานข้อมูลลูกค้า, เอกสารทางการเงิน, หรือไฟล์โปรเจกต์
· การเลือกวิธีการสำรองข้อมูล
(Backup Methods) การเลือกวิธีการสำรองข้อมูลที่เหมาะสม
เช่น การสำรองข้อมูลแบบเต็ม (Full Backup), การสำรองข้อมูลเฉพาะที่เปลี่ยนแปลง
(Incremental Backup), หรือการสำรองข้อมูลแบบผสมผสาน (Differential
Backup)
· การกำหนดความถี่ในการสำรองข้อมูล
(Backup Frequency) การกำหนดความถี่ในการสำรองข้อมูล
เช่น การสำรองข้อมูลทุกวัน, ทุกสัปดาห์ หรือทุกเดือน
ขึ้นอยู่กับความสำคัญของข้อมูลและความสามารถในการกู้คืน
· การจัดเก็บข้อมูลสำรอง
(Backup Storage) การเลือกสถานที่จัดเก็บข้อมูลสำรอง
เช่น การจัดเก็บในเซิร์ฟเวอร์ภายในองค์กร, ฮาร์ดไดรฟ์ภายนอก,
หรือบริการคลาวด์
เพื่อป้องกันความสูญเสียข้อมูลในกรณีที่เกิดเหตุขัดข้องในสถานที่เดียว
· การเข้ารหัสและรักษาความปลอดภัย
(Encryption and Security) การเข้ารหัสข้อมูลสำรองเพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต
และการกำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติม เช่น การควบคุมการเข้าถึงข้อมูลสำรอง
· การทดสอบการกู้คืนข้อมูล
(Recovery Testing) การทดสอบการกู้คืนข้อมูลเป็นประจำ
เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลสำรองสามารถกู้คืนได้จริงในกรณีที่เกิดเหตุ
· การตรวจสอบและอัปเดตแผน
(Plan Review and Update) การตรวจสอบและอัปเดตแผนการสำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อให้แผนยังคงมีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อความต้องการขององค์กร
ตัวอย่างการดำเนินการ บริษัท C ได้จัดทำแผนการสำรองข้อมูลโดยเลือกใช้การสำรองข้อมูลแบบ
Incremental Backup ทุกวัน และทำการสำรองข้อมูลแบบ Full
Backup ทุกสัปดาห์
ข้อมูลสำรองจะถูกจัดเก็บทั้งในเซิร์ฟเวอร์ภายในองค์กรและในคลาวด์เพื่อความปลอดภัยสูงสุด
โปรแกรมที่ใช้งาน
- Acronis True
Image โปรแกรมที่สามารถทำการสำรองข้อมูลทั้งในระบบคลาวด์และอุปกรณ์ภายนอก
พร้อมด้วยฟีเจอร์การเข้ารหัสและการกู้คืนข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ
- Backup Exec ซอฟต์แวร์จาก Veritas
ที่สามารถจัดการการสำรองข้อมูลในระบบเครือข่ายและการกู้คืนข้อมูลแบบอัตโนมัติ
- Carbonite บริการสำรองข้อมูลบนคลาวด์ที่เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลาง
ให้ความสามารถในการสำรองข้อมูลและกู้คืนข้อมูลที่สะดวกและรวดเร็ว
3. การกำหนด RTO และ RPO (Recovery Time Objective & Recovery Point Objective)
RTO คือระยะเวลาที่ระบบต้องกลับมาใช้งานได้หลังจากเกิดเหตุการณ์
และ RPO คือจุดเวลาล่าสุดที่ข้อมูลสามารถกู้คืนได้
ซึ่งทั้งสองจะกำหนดขอบเขตของแผนการฟื้นฟู
การกำหนด RTO และ RPO (Recovery Time Objective & Recovery
Point Objective)
RTO (Recovery Time Objective) และ RPO (Recovery
Point Objective) เป็นสองแนวคิดสำคัญในการวางแผน Disaster
Recovery โดยจะช่วยกำหนดเป้าหมายและมาตรฐานที่ชัดเจนในการกู้คืนระบบและข้อมูลเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
RTO (Recovery Time Objective)
- ความหมาย RTO คือระยะเวลาสูงสุดที่ระบบหรือบริการต้องกลับมาใช้งานได้หลังจากเกิดเหตุขัดข้องหรือภัยพิบัติ
โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานขององค์กรในระดับที่ยอมรับได้
- ตัวอย่าง หากบริษัทตั้ง RTO ไว้ที่ 4 ชั่วโมง
หมายความว่าหลังจากเกิดเหตุฉุกเฉิน ระบบต้องถูกกู้คืนและพร้อมใช้งานภายใน 4
ชั่วโมง เพื่อให้การดำเนินธุรกิจกลับมาเป็นปกติได้
- การประเมิน RTO RTO จะถูกกำหนดโดยพิจารณาถึงผลกระทบทางธุรกิจและความต้องการในการใช้งานระบบ
เช่น ระบบที่สำคัญต่อธุรกิจอาจมี RTO ต่ำ
เพราะการหยุดชะงักนานเกินไปจะก่อให้เกิดความเสียหายมาก
RPO (Recovery Point Objective)
- ความหมาย RPO คือจุดเวลาที่กำหนดว่าองค์กรสามารถยอมรับการสูญเสียข้อมูลที่เกิดจากเหตุขัดข้องได้ในระดับไหน
โดยกำหนดเป็นเวลาสูงสุดระหว่างการสำรองข้อมูลครั้งล่าสุดและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
- ตัวอย่าง หากกำหนด RPO ไว้ที่ 1
ชั่วโมง หมายความว่าในกรณีที่เกิดปัญหาขัดข้อง
องค์กรยอมรับได้ที่จะสูญเสียข้อมูลที่เกิดขึ้นในช่วง 1 ชั่วโมงล่าสุดก่อนเกิดเหตุ
- การประเมิน RPO RPO จะถูกกำหนดโดยพิจารณาถึงความสำคัญของข้อมูลและการยอมรับต่อการสูญเสีย
เช่น ระบบการเงินหรือฐานข้อมูลลูกค้าที่สำคัญอาจมี RPO ต่ำ
เพราะข้อมูลที่สูญหายไปแม้แต่เล็กน้อยก็อาจส่งผลกระทบอย่างมาก
ความแตกต่างระหว่าง RTO และ
RPO
- RTO กำหนดเวลาสูงสุดที่ระบบต้องกลับมาใช้งานได้
- RPO กำหนดปริมาณข้อมูลสูงสุดที่องค์กรสามารถยอมรับการสูญเสียได้
ตัวอย่างการดำเนินการ บริษัท D กำหนด RTO สำหรับระบบ ERP ที่ 2 ชั่วโมง
เนื่องจากระบบนี้เป็นระบบที่มีความสำคัญในการดำเนินธุรกิจ และกำหนด RPO ที่ 15 นาที
เพื่อให้มั่นใจว่าการสูญเสียข้อมูลที่เกิดขึ้นในกรณีที่ระบบล่มจะอยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้โดยไม่มีผลกระทบสำคัญ
โปรแกรมที่ใช้ในการจัดการ RTO และ RPO
- Veeam Backup
& Replication เป็นโปรแกรมที่ช่วยให้การกู้คืนระบบและข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็ว
โดยสามารถกำหนด RTO และ RPO ได้อย่างยืดหยุ่น
- Datto เป็นแพลตฟอร์มที่มีความสามารถในการสำรองข้อมูลและการกู้คืนระบบได้ในเวลาที่สั้น
เพื่อตอบสนองต่อ RTO และ RPO ต่ำ
4. การจัดทำแผน
DR (DR Plan) แผนที่ระบุขั้นตอนและกระบวนการที่จะใช้ในการกู้คืนระบบและข้อมูล
รวมถึงการกำหนดผู้รับผิดชอบและวิธีการสื่อสารในกรณีเกิดเหตุ
การจัดทำแผน Disaster Recovery (DR Plan)
การจัดทำแผน Disaster Recovery (DR Plan) เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเตรียมความพร้อมและการจัดการเหตุการณ์ฉุกเฉินที่อาจทำให้การดำเนินธุรกิจหยุดชะงัก
แผน DR จะช่วยให้องค์กรสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ลดผลกระทบที่เกิดขึ้นและทำให้ธุรกิจกลับมาดำเนินการได้โดยเร็วที่สุด
ขั้นตอนสำคัญในการจัดทำแผน DR
· การระบุทรัพย์สินและระบบที่สำคัญ
(Identify Critical Assets and Systems) การทำความเข้าใจว่าระบบใดและข้อมูลใดที่มีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจมากที่สุด
เช่น ระบบการเงิน, ระบบ ERP, หรือฐานข้อมูลลูกค้า
· การวิเคราะห์ผลกระทบทางธุรกิจ
(Business Impact Analysis - BIA) การวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากระบบที่สำคัญเหล่านั้นหยุดทำงาน
รวมถึงการประเมินผลทางการเงิน การดำเนินงาน และชื่อเสียงขององค์กร
· การกำหนดเป้าหมายการกู้คืน
(Define Recovery Objectives) การกำหนด RTO (Recovery
Time Objective) และ RPO (Recovery Point Objective) สำหรับแต่ละระบบ เพื่อระบุว่าระบบต้องกลับมาใช้งานได้ภายในเวลาเท่าไร
และข้อมูลจะต้องสูญเสียได้ไม่เกินกี่นาทีหรือชั่วโมง
· การพัฒนากลยุทธ์การกู้คืน
(Develop Recovery Strategies) การสร้างกลยุทธ์ในการกู้คืนระบบและข้อมูล
เช่น การสำรองข้อมูลแบบอัตโนมัติ, การใช้ศูนย์ข้อมูลสำรอง (Disaster
Recovery Site), หรือการใช้บริการคลาวด์เพื่อฟื้นฟูระบบ
· การจัดทำคู่มือปฏิบัติงาน
(Create a DR Manual) การจัดทำเอกสารที่ระบุขั้นตอนในการตอบสนองและการกู้คืนระบบอย่างละเอียด
รวมถึงการระบุผู้รับผิดชอบ, วิธีการสื่อสาร, และกระบวนการทำงานในแต่ละขั้นตอน
· การทดสอบแผน DR (DR Testing) การทดสอบแผน DR เป็นประจำเพื่อให้แน่ใจว่าแผนสามารถปฏิบัติได้จริงในกรณีเกิดเหตุ
รวมถึงการจำลองสถานการณ์ต่างๆ เช่น การล่มของเซิร์ฟเวอร์ หรือการโจมตีทางไซเบอร์
· การฝึกอบรมพนักงาน (Employee Training) การฝึกอบรมพนักงานให้รู้จักวิธีการตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินตามที่ระบุในแผน
DR และการมอบหมายหน้าที่ความรับผิดชอบที่ชัดเจน
· การจัดการเอกสารและการสื่อสาร
(Documentation and Communication) การจัดเก็บและจัดการเอกสารแผน DR
อย่างเป็นระบบ รวมถึงการสื่อสารแผนและขั้นตอนต่างๆ
กับทีมงานและผู้ที่เกี่ยวข้อง
· การอัปเดตและบำรุงรักษาแผน
(Plan Maintenance and Updates) การตรวจสอบและปรับปรุงแผน DR
เป็นระยะๆ
เพื่อให้แผนยังคงมีความสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจและเทคโนโลยี
ตัวอย่างการดำเนินการ บริษัท E ได้จัดทำแผน DR โดยสร้างกลยุทธ์การกู้คืนระบบที่ใช้การสำรองข้อมูลแบบเรียลไทม์ในคลาวด์
และใช้ศูนย์ข้อมูลสำรองในอีกประเทศหนึ่ง การทดสอบแผน DR จะทำปีละสองครั้ง
โดยจำลองเหตุการณ์ภัยพิบัติต่างๆ เช่น การโจมตีทางไซเบอร์
และไฟไหม้ในศูนย์ข้อมูลหลัก
โปรแกรมที่ใช้ในการจัดทำแผน DR
- DRaaS (Disaster
Recovery as a Service) เช่น AWS Elastic
Disaster Recovery หรือ Azure Site Recovery บริการเหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถกู้คืนระบบและข้อมูลได้อย่างรวดเร็วในกรณีที่เกิดภัยพิบัติ
- Onspring เครื่องมือจัดการแผน DR
ที่ช่วยในการสร้างเอกสารและจัดการกระบวนการต่างๆ ของแผน DR
รวมถึงการทดสอบและการตรวจสอบ
- Arcserve UDP โซลูชั่นที่รวมการสำรองข้อมูลและการกู้คืนระบบในแพลตฟอร์มเดียว
ช่วยในการพัฒนาแผน DR ที่ครอบคลุม
5. การทดสอบ DR (DR
Testing) การทดสอบและจำลองสถานการณ์เพื่อตรวจสอบความพร้อมและประสิทธิภาพของแผน
DR
การทดสอบ Disaster Recovery (DR Testing) คือกระบวนการตรวจสอบและประเมินว่าแผน
Disaster Recovery (DR Plan) ที่ได้จัดทำขึ้นสามารถดำเนินการได้จริง
และมีประสิทธิภาพเพียงพอในการกู้คืนระบบและข้อมูลหลังจากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินหรือภัยพิบัติ
การทดสอบ DR เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการรักษาความพร้อมขององค์กรในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด
ขั้นตอนสำคัญในการทดสอบ DR
· กำหนดวัตถุประสงค์การทดสอบ
(Define Testing Objectives) ระบุเป้าหมายที่ชัดเจนสำหรับการทดสอบ
DR เช่น การทดสอบความเร็วในการกู้คืนระบบ, การตรวจสอบการทำงานของการสำรองข้อมูล, หรือการประเมินความพร้อมของทีมงาน
· เลือกประเภทของการทดสอบ
(Select Testing Type) มีการทดสอบ
DR หลายประเภทที่สามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม เช่น
Ø Tabletop Exercises การจำลองสถานการณ์ผ่านการประชุมหรือการพูดคุยเพื่อทบทวนแผน
DR โดยไม่มีการทดสอบจริง
Ø Simulation Testing การจำลองเหตุการณ์ฉุกเฉินโดยใช้ระบบเสมือนเพื่อทดสอบความสามารถในการกู้คืน
Ø Full-Scale Testing การทดสอบจริงในสถานการณ์จริงที่เกี่ยวข้องกับการย้ายข้อมูลหรือการกู้คืนระบบจากศูนย์ข้อมูลสำรอง
· เตรียมการทดสอบ (Prepare for the
Test) การเตรียมพร้อมในการทดสอบรวมถึงการจัดเตรียมทรัพยากรที่จำเป็น
เช่น ทีมงาน, อุปกรณ์, และข้อมูลตัวอย่าง
รวมถึงการแจ้งเตือนผู้เกี่ยวข้องถึงการทดสอบที่กำลังจะเกิดขึ้น
· ดำเนินการทดสอบ (Execute the Test) การดำเนินการทดสอบตามแผนที่วางไว้
โดยการทดสอบต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดในแผน DR เช่น
การกู้คืนข้อมูลจากระบบสำรอง, การย้ายระบบไปยังศูนย์ข้อมูลสำรอง,
หรือการทดสอบความสามารถของระบบในการรับมือกับการโจมตีทางไซเบอร์
· บันทึกและวิเคราะห์ผลการทดสอบ
(Document and Analyze Test Results) การบันทึกผลลัพธ์ของการทดสอบอย่างละเอียด
รวมถึงการบันทึกปัญหาหรือข้อบกพร่องที่พบ
รวมถึงการประเมินว่าการทดสอบนั้นสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่
· ปรับปรุงแผน DR ตามผลการทดสอบ
(Update the DR Plan) การปรับปรุงแผน DR ตามผลลัพธ์ที่ได้จากการทดสอบ หากพบปัญหาหรือข้อบกพร่อง
ควรมีการแก้ไขและทดสอบใหม่จนกว่าจะมั่นใจว่าแผนสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
· การทดสอบอย่างต่อเนื่อง
(Ongoing Testing) การทดสอบ
DR ควรทำอย่างต่อเนื่องและเป็นระยะ เพื่อให้แผน DR ยังคงมีความสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยีและการดำเนินธุรกิจ
ตัวอย่างการดำเนินการ บริษัท F ทำการทดสอบ DR แบบ Simulation Testing โดยจำลองการล่มของระบบเซิร์ฟเวอร์หลักและทดสอบการกู้คืนจากศูนย์ข้อมูลสำรอง
ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่าระบบสามารถกู้คืนได้ภายในเวลาที่กำหนด (RTO) แต่พบปัญหาในการซิงค์ข้อมูลบางส่วน
จึงมีการปรับปรุงขั้นตอนการสำรองข้อมูลเพื่อให้แน่ใจว่าการกู้คืนในอนาคตจะไม่มีข้อบกพร่อง
โปรแกรมที่ใช้ในการทดสอบ DR
- IBM Resiliency
Orchestration เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการวางแผนและทดสอบ
DR โดยสามารถจำลองสถานการณ์และตรวจสอบผลลัพธ์ได้อย่างละเอียด
- VMware Site
Recovery Manager เป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการจำลองและทดสอบการกู้คืนระบบจากศูนย์ข้อมูลสำรอง
พร้อมกับการประเมินประสิทธิภาพการกู้คืน
- Zerto เครื่องมือที่ใช้ในการทดสอบ DR
ที่ช่วยในการวางแผนและจำลองเหตุการณ์ภัยพิบัติเพื่อให้แน่ใจว่าการกู้คืนระบบและข้อมูลจะเป็นไปตามที่วางแผนไว้
6. การเลือกเทคโนโลยีและเครื่องมือ
(Technology and Tools Selection) การเลือกใช้โปรแกรมและเทคโนโลยีที่เหมาะสม
เช่น ระบบสำรองข้อมูล, ระบบจำลอง (virtualization), และบริการคลาวด์ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงาน DR
การเลือกเทคโนโลยีและเครื่องมือที่เหมาะสมในการจัดการ Disaster Recovery
(DR) เป็นขั้นตอนที่สำคัญอย่างยิ่งเพื่อให้แน่ใจว่าองค์กรสามารถกู้คืนระบบและข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
การเลือกเทคโนโลยีและเครื่องมือต้องคำนึงถึงความต้องการเฉพาะขององค์กร เช่น
ขนาดของระบบ, ประเภทของข้อมูล, งบประมาณ,
และความซับซ้อนของโครงสร้างพื้นฐาน
ขั้นตอนในการเลือกเทคโนโลยีและเครื่องมือสำหรับ DR
· การประเมินความต้องการขององค์กร
(Assess Organizational Needs) การทำความเข้าใจความต้องการขององค์กร
เช่น ความสำคัญของระบบและข้อมูล, RTO และ RPO, ความซับซ้อนของโครงสร้างพื้นฐาน IT, และข้อจำกัดด้านงบประมาณ
จะช่วยให้การเลือกเทคโนโลยีและเครื่องมือเป็นไปอย่างเหมาะสม
· การสำรวจเทคโนโลยีและเครื่องมือที่มีอยู่
(Explore Available Technologies and Tools) การสำรวจเทคโนโลยีและเครื่องมือที่มีอยู่ในตลาด
เช่น โซลูชันการสำรองข้อมูล (Backup Solutions), การจำลองเซิร์ฟเวอร์
(Server Virtualization), การกู้คืนระบบ (System
Recovery Tools), และบริการ DRaaS (Disaster Recovery as a
Service)
· การประเมินความเข้ากันได้
(Evaluate Compatibility) การตรวจสอบว่าเทคโนโลยีและเครื่องมือที่เลือกเข้ากันได้กับโครงสร้างพื้นฐาน
IT ปัจจุบันขององค์กรหรือไม่ เช่น
การทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการ, แพลตฟอร์มคลาวด์, หรือฐานข้อมูลที่องค์กรใช้
· การพิจารณาความยืดหยุ่นและการปรับขยาย
(Consider Flexibility and Scalability) การเลือกเทคโนโลยีที่สามารถปรับขยายได้ตามการเติบโตขององค์กร
และมีความยืดหยุ่นในการรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในอนาคต เช่น
การเพิ่มจำนวนเซิร์ฟเวอร์หรือปริมาณข้อมูลที่ต้องสำรอง
· การพิจารณาด้านความปลอดภัย
(Security Considerations) การเลือกเครื่องมือที่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด
เช่น การเข้ารหัสข้อมูล, การควบคุมการเข้าถึง, และการตรวจสอบเหตุการณ์ต่างๆ
เพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาตในระหว่างกระบวนการกู้คืน
· การพิจารณาความง่ายในการใช้งาน
(Ease of Use) การเลือกเครื่องมือที่ใช้งานง่ายและมีอินเทอร์เฟซที่ไม่ซับซ้อน
ซึ่งจะช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการ DR และลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น
· การตรวจสอบการสนับสนุนและการบริการหลังการขาย
(Support and After-Sales Service) การเลือกเครื่องมือจากผู้ให้บริการที่มีการสนับสนุนและบริการหลังการขายที่ดี
ซึ่งรวมถึงการให้คำปรึกษา, การฝึกอบรม, และการช่วยเหลือในกรณีที่เกิดปัญหา
· การทดสอบและการประเมินผล
(Testing and Evaluation) การทดสอบเครื่องมือในสภาพแวดล้อมจริงเพื่อประเมินประสิทธิภาพ,
ความเสถียร, และความสะดวกในการใช้งานก่อนที่จะนำมาใช้งานในองค์กร
· การคำนึงถึงต้นทุน (Cost Consideration) การพิจารณาต้นทุนรวมของการเลือกใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือ
เช่น ค่าลิขสิทธิ์, ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและบำรุงรักษา,
และค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม
ตัวอย่างการดำเนินการ บริษัท G ที่มีความซับซ้อนในโครงสร้างพื้นฐาน
IT เลือกใช้ VMware Site Recovery Manager สำหรับการกู้คืนระบบเซิร์ฟเวอร์และ Veeam Backup &
Replication สำหรับการสำรองข้อมูลที่สามารถทำงานร่วมกันได้และมีการสนับสนุนการทำงานในคลาวด์
ซึ่งทั้งสองเครื่องมือนี้เข้ากันได้กับโครงสร้างพื้นฐานปัจจุบันและสามารถปรับขยายได้ตามการเติบโตของธุรกิจ
โปรแกรมและเทคโนโลยีที่แนะนำ
- Veeam Backup
& Replication โซลูชันที่ครอบคลุมทั้งการสำรองข้อมูลและการกู้คืนระบบ
รองรับการทำงานในสภาพแวดล้อมเสมือนและคลาวด์
- VMware Site
Recovery Manager เครื่องมือจัดการ DR สำหรับองค์กรที่ใช้เทคโนโลยี
VMware ช่วยในการกู้คืนระบบอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
- Microsoft Azure
Site Recovery บริการ DRaaS
ที่ทำให้การสำรองและกู้คืนข้อมูลเป็นไปอย่างราบรื่นในระบบคลาวด์
- Zerto โซลูชัน DR ที่มุ่งเน้นการทำงานแบบเรียลไทม์และการกู้คืนที่รวดเร็ว
รองรับทั้งสภาพแวดล้อมแบบเสมือนและคลาวด์
7. การตรวจสอบและอัปเดตแผน
DR (DR Plan Review and Update) การตรวจสอบและอัปเดตแผน DR
อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าแผนยังคงเหมาะสมและทันสมัย
การตรวจสอบและอัปเดตแผน Disaster Recovery (DR Plan) เป็นกระบวนการที่สำคัญอย่างยิ่งในการรักษาความพร้อมและประสิทธิภาพของแผน
DR ให้เหมาะสมกับสถานการณ์และความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปขององค์กร
เนื่องจากเทคโนโลยี โครงสร้างพื้นฐาน และความเสี่ยงต่างๆ
มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การไม่อัปเดตแผน DR อาจทำให้แผนไม่สามารถใช้งานได้จริงในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
ขั้นตอนในการตรวจสอบและอัปเดตแผน DR
· การกำหนดตารางเวลาการตรวจสอบ
(Establish Review Schedule) กำหนดตารางเวลาสำหรับการตรวจสอบแผน
DR อย่างสม่ำเสมอ เช่น ทุกไตรมาสหรือทุกปี
หรือหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญในโครงสร้างพื้นฐานหรือการดำเนินงานขององค์กร
· การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงในธุรกิจและเทคโนโลยี
(Analyze Business and Technological Changes) ตรวจสอบว่าโครงสร้างพื้นฐาน IT,
กระบวนการทางธุรกิจ, และเทคโนโลยีใหม่ๆ
ที่ถูกนำมาใช้มีผลกระทบต่อแผน DR หรือไม่ เช่น
การอัปเกรดซอฟต์แวร์, การย้ายข้อมูลไปยังคลาวด์, หรือการเปลี่ยนแปลงระบบการจัดเก็บข้อมูล
· การตรวจสอบความเสี่ยงใหม่
(Identify New Risks) ประเมินความเสี่ยงใหม่ๆ
ที่อาจเกิดขึ้น เช่น ภัยคุกคามทางไซเบอร์ใหม่, การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางกฎหมาย,
หรือการเปิดตัวผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ที่อาจทำให้เกิดช่องโหว่
· การทบทวนการปฏิบัติงาน
(Review Operational Procedures) ตรวจสอบว่าแนวปฏิบัติและขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ระบุในแผน
DR ยังคงมีความสอดคล้องและเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมการทำงานปัจจุบันหรือไม่
และทำการปรับปรุงหากจำเป็น
· การประเมินประสิทธิภาพจากการทดสอบที่ผ่านมา
(Evaluate Performance from Past Testing) ทบทวนผลการทดสอบ DR ที่ผ่านมาเพื่อตรวจสอบว่ามีปัญหาหรือข้อบกพร่องใดที่ต้องได้รับการแก้ไข
และปรับปรุงแผน DR ให้สามารถรับมือกับปัญหาเหล่านั้นได้
· การอัปเดตข้อมูลผู้ติดต่อและการสื่อสาร
(Update Contact Information and Communication Plan) ตรวจสอบและอัปเดตรายชื่อผู้ติดต่อที่สำคัญ
เช่น ผู้รับผิดชอบหลัก, ผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิค, และหน่วยงานภายนอก
เพื่อให้การสื่อสารในสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นไปอย่างราบรื่น
· การฝึกอบรมและการสร้างความตระหนัก
(Training and Awareness) ฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในแผน
DR เพื่อให้มั่นใจว่าทุกคนเข้าใจหน้าที่และความรับผิดชอบของตนในกรณีเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน
· การบันทึกและจัดเก็บข้อมูล
(Documenting and Archiving) บันทึกการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่เกิดขึ้นในการตรวจสอบและอัปเดตแผน
DR พร้อมทั้งจัดเก็บเอกสารให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายในกรณีที่ต้องใช้งาน
· การประสานงานกับผู้จำหน่ายและผู้ให้บริการ
(Coordinate with Vendors and Service Providers) ประสานงานกับผู้จำหน่ายและผู้ให้บริการที่เกี่ยวข้องเพื่อให้แน่ใจว่าแผน
DR ยังคงสอดคล้องกับบริการหรือผลิตภัณฑ์ที่ได้รับจากภายนอก
· การทบทวนและอนุมัติแผนที่อัปเดต
(Review and Approve Updated Plan) นำเสนอแผน DR ที่อัปเดตต่อผู้บริหารหรือคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องเพื่อรับรองความถูกต้องและการอนุมัติแผนก่อนที่จะนำไปปฏิบัติ
ตัวอย่างการดำเนินการ บริษัท H ทำการตรวจสอบแผน DR
ของตนทุก 6 เดือน
หลังจากการอัปเกรดโครงสร้างพื้นฐาน IT ใหม่
บริษัทได้อัปเดตแผน DR โดยเพิ่มขั้นตอนการกู้คืนข้อมูลจากระบบคลาวด์
และได้ทบทวนการทดสอบเพื่อให้แน่ใจว่าระบบใหม่ทั้งหมดสามารถกู้คืนได้ตาม RTO
และ RPO ที่กำหนด
โปรแกรมและเทคโนโลยีที่ใช้ในการตรวจสอบและอัปเดตแผน DR
- Onspring เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการจัดการและติดตามการอัปเดตแผน
DR รวมถึงการจัดทำเอกสารและการตรวจสอบประสิทธิภาพของแผน
- Everbridge IT
Alerting ระบบแจ้งเตือนที่ช่วยในการประสานงานและสื่อสารกับทีมงานในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน
รวมถึงการทบทวนและอัปเดตข้อมูลการสื่อสารในแผน DR
- MetricStream โซลูชันสำหรับการจัดการความเสี่ยงที่ช่วยในการตรวจสอบและอัปเดตแผน
DR พร้อมกับการประเมินและการทดสอบแผนอย่างสม่ำเสมอ
ตัวอย่างการดำเนินการ บริษัท A ใช้ระบบคลาวด์สำหรับการสำรองข้อมูลและการกู้คืนข้อมูลเมื่อเกิดเหตุขัดข้อง ระบบจะทำการสำรองข้อมูลทุกๆ ชั่วโมงและจำลองระบบในสภาพแวดล้อมคลาวด์แบบเรียลไทม์ เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลสามารถกู้คืนได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุ
โปรแกรมที่ใช้งาน
- Veeam โปรแกรมสำรองและกู้คืนข้อมูลที่ช่วยให้การฟื้นฟูระบบทำได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
- AWS Disaster
Recovery บริการจาก Amazon
Web Services ที่ช่วยในการสร้างสภาพแวดล้อมการกู้คืนในคลาวด์
- Zerto โซลูชั่นที่ช่วยในการสำรองข้อมูลและการฟื้นฟูระบบอย่างต่อเนื่องในสภาพแวดล้อมคลาวด์หรือ
on-premise
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น