วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2567

Disaster Recovery (DR) กระบวนการและชุดของขั้นตอนที่ออกแบบมาเพื่อกู้คืนและฟื้นฟูระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ

Disaster Recovery (DR) คืออะไร

Disaster Recovery (DR) คือกระบวนการและชุดของขั้นตอนที่ออกแบบมาเพื่อกู้คืนและฟื้นฟูระบบ IT, ข้อมูล, และการดำเนินธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ, การโจมตีทางไซเบอร์, หรือความล้มเหลวของระบบอย่างรุนแรง วัตถุประสงค์หลักของ DR คือการทำให้ธุรกิจสามารถกลับมาดำเนินการได้เร็วที่สุดโดยมีผลกระทบต่อน้อยที่สุด

องค์ประกอบหลักของ Disaster Recovery

1.      การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment)  การระบุและวิเคราะห์ภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งจะมีผลกระทบต่อระบบและข้อมูลขององค์กร เช่น การโจมตีทางไซเบอร์, ไฟไหม้, น้ำท่วม เป็นต้น

การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment)

การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment) คือกระบวนการในการระบุ วิเคราะห์ และประเมินความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานขององค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับระบบ IT และข้อมูล วัตถุประสงค์หลักของการประเมินความเสี่ยงคือการทำความเข้าใจถึงความเสี่ยงที่องค์กรเผชิญ เพื่อที่จะสามารถพัฒนากลยุทธ์และมาตรการในการลดผลกระทบเหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขั้นตอนสำคัญในการประเมินความเสี่ยง

·       การระบุความเสี่ยง (Risk Identification)  การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น เช่น การโจมตีทางไซเบอร์, ภัยพิบัติทางธรรมชาติ, การทำงานผิดพลาดของฮาร์ดแวร์ หรือการเกิดไฟฟ้าดับ

·       การวิเคราะห์ความเสี่ยง (Risk Analysis)  การวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากความเสี่ยงเหล่านั้น โดยพิจารณาถึงความรุนแรงและความเป็นไปได้ในการเกิดเหตุ

·       การประเมินความเสี่ยง (Risk Evaluation)  การจัดลำดับความสำคัญของความเสี่ยง โดยพิจารณาถึงความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดสูงและมีผลกระทบรุนแรง เพื่อกำหนดมาตรการป้องกันและแผนรับมือ

·       การกำหนดมาตรการลดความเสี่ยง (Risk Mitigation)  การพัฒนาและดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเพื่อควบคุมและลดความเสี่ยง เช่น การติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติม, การเพิ่มการสำรองข้อมูล, หรือการจัดทำแผน Disaster Recovery

·       การตรวจสอบและติดตามผล (Monitoring and Review)  การตรวจสอบและติดตามความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับปรุงแผนและมาตรการป้องกันตามความจำเป็น

ตัวอย่างการดำเนินการ  บริษัท B ทำการประเมินความเสี่ยงโดยเริ่มจากการจัดทำรายการภัยคุกคามที่อาจส่งผลต่อระบบข้อมูล เช่น การโจมตี DDoS, การรั่วไหลของข้อมูล หรือความเสียหายจากไฟไหม้ จากนั้นทำการวิเคราะห์ผลกระทบและความเป็นไปได้ในการเกิดเหตุ ซึ่งส่งผลให้บริษัทได้ตัดสินใจลงทุนในระบบสำรองข้อมูลและการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์เพิ่มขึ้น

เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินความเสี่ยง

  • NIST Risk Management Framework (RMF)  กรอบการทำงานที่ช่วยในการระบุ วิเคราะห์ และจัดการความเสี่ยงในองค์กร
  • ISO 31000  มาตรฐานสากลสำหรับการบริหารจัดการความเสี่ยง ที่ใช้ในการพัฒนาแนวทางและวิธีการปฏิบัติในการประเมินความเสี่ยง
  • RiskWatch  ซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการระบุและวิเคราะห์ความเสี่ยง พร้อมทั้งจัดทำรายงานการประเมินความเสี่ยง

2.      แผนการสำรองข้อมูล (Data Backup Plan)  การจัดทำแผนการสำรองข้อมูลอย่างเป็นระเบียบและสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถกู้คืนข้อมูลที่สำคัญได้ในกรณีที่เกิดการสูญเสีย

แผนการสำรองข้อมูล (Data Backup Plan) คือชุดของกระบวนการและขั้นตอนที่กำหนดขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลสำคัญขององค์กรได้รับการสำรองอย่างปลอดภัยและสามารถกู้คืนได้เมื่อเกิดความสูญเสียหรือความเสียหาย วัตถุประสงค์หลักของแผนนี้คือการป้องกันการสูญเสียข้อมูลถาวร และลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อการดำเนินงานขององค์กร

องค์ประกอบหลักของแผนการสำรองข้อมูล

·       การระบุข้อมูลสำคัญ (Data Identification)  การระบุประเภทของข้อมูลที่จำเป็นต้องสำรอง เช่น ฐานข้อมูลลูกค้า, เอกสารทางการเงิน, หรือไฟล์โปรเจกต์

·       การเลือกวิธีการสำรองข้อมูล (Backup Methods)  การเลือกวิธีการสำรองข้อมูลที่เหมาะสม เช่น การสำรองข้อมูลแบบเต็ม (Full Backup), การสำรองข้อมูลเฉพาะที่เปลี่ยนแปลง (Incremental Backup), หรือการสำรองข้อมูลแบบผสมผสาน (Differential Backup)

·       การกำหนดความถี่ในการสำรองข้อมูล (Backup Frequency)  การกำหนดความถี่ในการสำรองข้อมูล เช่น การสำรองข้อมูลทุกวัน, ทุกสัปดาห์ หรือทุกเดือน ขึ้นอยู่กับความสำคัญของข้อมูลและความสามารถในการกู้คืน

·       การจัดเก็บข้อมูลสำรอง (Backup Storage)  การเลือกสถานที่จัดเก็บข้อมูลสำรอง เช่น การจัดเก็บในเซิร์ฟเวอร์ภายในองค์กร, ฮาร์ดไดรฟ์ภายนอก, หรือบริการคลาวด์ เพื่อป้องกันความสูญเสียข้อมูลในกรณีที่เกิดเหตุขัดข้องในสถานที่เดียว

·       การเข้ารหัสและรักษาความปลอดภัย (Encryption and Security)  การเข้ารหัสข้อมูลสำรองเพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต และการกำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติม เช่น การควบคุมการเข้าถึงข้อมูลสำรอง

·       การทดสอบการกู้คืนข้อมูล (Recovery Testing)  การทดสอบการกู้คืนข้อมูลเป็นประจำ เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลสำรองสามารถกู้คืนได้จริงในกรณีที่เกิดเหตุ

·       การตรวจสอบและอัปเดตแผน (Plan Review and Update)  การตรวจสอบและอัปเดตแผนการสำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แผนยังคงมีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อความต้องการขององค์กร

ตัวอย่างการดำเนินการ  บริษัท C ได้จัดทำแผนการสำรองข้อมูลโดยเลือกใช้การสำรองข้อมูลแบบ Incremental Backup ทุกวัน และทำการสำรองข้อมูลแบบ Full Backup ทุกสัปดาห์ ข้อมูลสำรองจะถูกจัดเก็บทั้งในเซิร์ฟเวอร์ภายในองค์กรและในคลาวด์เพื่อความปลอดภัยสูงสุด

โปรแกรมที่ใช้งาน

  • Acronis True Image  โปรแกรมที่สามารถทำการสำรองข้อมูลทั้งในระบบคลาวด์และอุปกรณ์ภายนอก พร้อมด้วยฟีเจอร์การเข้ารหัสและการกู้คืนข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ
  • Backup Exec  ซอฟต์แวร์จาก Veritas ที่สามารถจัดการการสำรองข้อมูลในระบบเครือข่ายและการกู้คืนข้อมูลแบบอัตโนมัติ
  • Carbonite  บริการสำรองข้อมูลบนคลาวด์ที่เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ให้ความสามารถในการสำรองข้อมูลและกู้คืนข้อมูลที่สะดวกและรวดเร็ว

3.      การกำหนด RTO และ RPO (Recovery Time Objective & Recovery Point Objective)  RTO คือระยะเวลาที่ระบบต้องกลับมาใช้งานได้หลังจากเกิดเหตุการณ์ และ RPO คือจุดเวลาล่าสุดที่ข้อมูลสามารถกู้คืนได้ ซึ่งทั้งสองจะกำหนดขอบเขตของแผนการฟื้นฟู

การกำหนด RTO และ RPO (Recovery Time Objective & Recovery Point Objective)

RTO (Recovery Time Objective) และ RPO (Recovery Point Objective) เป็นสองแนวคิดสำคัญในการวางแผน Disaster Recovery โดยจะช่วยกำหนดเป้าหมายและมาตรฐานที่ชัดเจนในการกู้คืนระบบและข้อมูลเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

RTO (Recovery Time Objective)

  • ความหมาย  RTO คือระยะเวลาสูงสุดที่ระบบหรือบริการต้องกลับมาใช้งานได้หลังจากเกิดเหตุขัดข้องหรือภัยพิบัติ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานขององค์กรในระดับที่ยอมรับได้
  • ตัวอย่าง  หากบริษัทตั้ง RTO ไว้ที่ 4 ชั่วโมง หมายความว่าหลังจากเกิดเหตุฉุกเฉิน ระบบต้องถูกกู้คืนและพร้อมใช้งานภายใน 4 ชั่วโมง เพื่อให้การดำเนินธุรกิจกลับมาเป็นปกติได้
  • การประเมิน RTO  RTO จะถูกกำหนดโดยพิจารณาถึงผลกระทบทางธุรกิจและความต้องการในการใช้งานระบบ เช่น ระบบที่สำคัญต่อธุรกิจอาจมี RTO ต่ำ เพราะการหยุดชะงักนานเกินไปจะก่อให้เกิดความเสียหายมาก

RPO (Recovery Point Objective)

  • ความหมาย  RPO คือจุดเวลาที่กำหนดว่าองค์กรสามารถยอมรับการสูญเสียข้อมูลที่เกิดจากเหตุขัดข้องได้ในระดับไหน โดยกำหนดเป็นเวลาสูงสุดระหว่างการสำรองข้อมูลครั้งล่าสุดและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
  • ตัวอย่าง  หากกำหนด RPO ไว้ที่ 1 ชั่วโมง หมายความว่าในกรณีที่เกิดปัญหาขัดข้อง องค์กรยอมรับได้ที่จะสูญเสียข้อมูลที่เกิดขึ้นในช่วง 1 ชั่วโมงล่าสุดก่อนเกิดเหตุ
  • การประเมิน RPO  RPO จะถูกกำหนดโดยพิจารณาถึงความสำคัญของข้อมูลและการยอมรับต่อการสูญเสีย เช่น ระบบการเงินหรือฐานข้อมูลลูกค้าที่สำคัญอาจมี RPO ต่ำ เพราะข้อมูลที่สูญหายไปแม้แต่เล็กน้อยก็อาจส่งผลกระทบอย่างมาก

ความแตกต่างระหว่าง RTO และ RPO

  • RTO  กำหนดเวลาสูงสุดที่ระบบต้องกลับมาใช้งานได้
  • RPO  กำหนดปริมาณข้อมูลสูงสุดที่องค์กรสามารถยอมรับการสูญเสียได้

ตัวอย่างการดำเนินการ  บริษัท D กำหนด RTO สำหรับระบบ ERP ที่ 2 ชั่วโมง เนื่องจากระบบนี้เป็นระบบที่มีความสำคัญในการดำเนินธุรกิจ และกำหนด RPO ที่ 15 นาที เพื่อให้มั่นใจว่าการสูญเสียข้อมูลที่เกิดขึ้นในกรณีที่ระบบล่มจะอยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้โดยไม่มีผลกระทบสำคัญ

โปรแกรมที่ใช้ในการจัดการ RTO และ RPO

  • Veeam Backup & Replication  เป็นโปรแกรมที่ช่วยให้การกู้คืนระบบและข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยสามารถกำหนด RTO และ RPO ได้อย่างยืดหยุ่น
  • Datto  เป็นแพลตฟอร์มที่มีความสามารถในการสำรองข้อมูลและการกู้คืนระบบได้ในเวลาที่สั้น เพื่อตอบสนองต่อ RTO และ RPO ต่ำ

4.      การจัดทำแผน DR (DR Plan)  แผนที่ระบุขั้นตอนและกระบวนการที่จะใช้ในการกู้คืนระบบและข้อมูล รวมถึงการกำหนดผู้รับผิดชอบและวิธีการสื่อสารในกรณีเกิดเหตุ

การจัดทำแผน Disaster Recovery (DR Plan)

การจัดทำแผน Disaster Recovery (DR Plan) เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเตรียมความพร้อมและการจัดการเหตุการณ์ฉุกเฉินที่อาจทำให้การดำเนินธุรกิจหยุดชะงัก แผน DR จะช่วยให้องค์กรสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ลดผลกระทบที่เกิดขึ้นและทำให้ธุรกิจกลับมาดำเนินการได้โดยเร็วที่สุด

ขั้นตอนสำคัญในการจัดทำแผน DR

·       การระบุทรัพย์สินและระบบที่สำคัญ (Identify Critical Assets and Systems)  การทำความเข้าใจว่าระบบใดและข้อมูลใดที่มีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจมากที่สุด เช่น ระบบการเงิน, ระบบ ERP, หรือฐานข้อมูลลูกค้า

·       การวิเคราะห์ผลกระทบทางธุรกิจ (Business Impact Analysis - BIA)  การวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากระบบที่สำคัญเหล่านั้นหยุดทำงาน รวมถึงการประเมินผลทางการเงิน การดำเนินงาน และชื่อเสียงขององค์กร

·       การกำหนดเป้าหมายการกู้คืน (Define Recovery Objectives)  การกำหนด RTO (Recovery Time Objective) และ RPO (Recovery Point Objective) สำหรับแต่ละระบบ เพื่อระบุว่าระบบต้องกลับมาใช้งานได้ภายในเวลาเท่าไร และข้อมูลจะต้องสูญเสียได้ไม่เกินกี่นาทีหรือชั่วโมง

·       การพัฒนากลยุทธ์การกู้คืน (Develop Recovery Strategies)  การสร้างกลยุทธ์ในการกู้คืนระบบและข้อมูล เช่น การสำรองข้อมูลแบบอัตโนมัติ, การใช้ศูนย์ข้อมูลสำรอง (Disaster Recovery Site), หรือการใช้บริการคลาวด์เพื่อฟื้นฟูระบบ

·       การจัดทำคู่มือปฏิบัติงาน (Create a DR Manual)  การจัดทำเอกสารที่ระบุขั้นตอนในการตอบสนองและการกู้คืนระบบอย่างละเอียด รวมถึงการระบุผู้รับผิดชอบ, วิธีการสื่อสาร, และกระบวนการทำงานในแต่ละขั้นตอน

·       การทดสอบแผน DR (DR Testing)  การทดสอบแผน DR เป็นประจำเพื่อให้แน่ใจว่าแผนสามารถปฏิบัติได้จริงในกรณีเกิดเหตุ รวมถึงการจำลองสถานการณ์ต่างๆ เช่น การล่มของเซิร์ฟเวอร์ หรือการโจมตีทางไซเบอร์

·       การฝึกอบรมพนักงาน (Employee Training)  การฝึกอบรมพนักงานให้รู้จักวิธีการตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินตามที่ระบุในแผน DR และการมอบหมายหน้าที่ความรับผิดชอบที่ชัดเจน

·       การจัดการเอกสารและการสื่อสาร (Documentation and Communication)  การจัดเก็บและจัดการเอกสารแผน DR อย่างเป็นระบบ รวมถึงการสื่อสารแผนและขั้นตอนต่างๆ กับทีมงานและผู้ที่เกี่ยวข้อง

·       การอัปเดตและบำรุงรักษาแผน (Plan Maintenance and Updates)  การตรวจสอบและปรับปรุงแผน DR เป็นระยะๆ เพื่อให้แผนยังคงมีความสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจและเทคโนโลยี

ตัวอย่างการดำเนินการ  บริษัท E ได้จัดทำแผน DR โดยสร้างกลยุทธ์การกู้คืนระบบที่ใช้การสำรองข้อมูลแบบเรียลไทม์ในคลาวด์ และใช้ศูนย์ข้อมูลสำรองในอีกประเทศหนึ่ง การทดสอบแผน DR จะทำปีละสองครั้ง โดยจำลองเหตุการณ์ภัยพิบัติต่างๆ เช่น การโจมตีทางไซเบอร์ และไฟไหม้ในศูนย์ข้อมูลหลัก

โปรแกรมที่ใช้ในการจัดทำแผน DR

  • DRaaS (Disaster Recovery as a Service)  เช่น AWS Elastic Disaster Recovery หรือ Azure Site Recovery บริการเหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถกู้คืนระบบและข้อมูลได้อย่างรวดเร็วในกรณีที่เกิดภัยพิบัติ
  • Onspring  เครื่องมือจัดการแผน DR ที่ช่วยในการสร้างเอกสารและจัดการกระบวนการต่างๆ ของแผน DR รวมถึงการทดสอบและการตรวจสอบ
  • Arcserve UDP  โซลูชั่นที่รวมการสำรองข้อมูลและการกู้คืนระบบในแพลตฟอร์มเดียว ช่วยในการพัฒนาแผน DR ที่ครอบคลุม

5.      การทดสอบ DR (DR Testing)  การทดสอบและจำลองสถานการณ์เพื่อตรวจสอบความพร้อมและประสิทธิภาพของแผน DR

การทดสอบ Disaster Recovery (DR Testing) คือกระบวนการตรวจสอบและประเมินว่าแผน Disaster Recovery (DR Plan) ที่ได้จัดทำขึ้นสามารถดำเนินการได้จริง และมีประสิทธิภาพเพียงพอในการกู้คืนระบบและข้อมูลหลังจากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินหรือภัยพิบัติ การทดสอบ DR เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการรักษาความพร้อมขององค์กรในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด

ขั้นตอนสำคัญในการทดสอบ DR

·       กำหนดวัตถุประสงค์การทดสอบ (Define Testing Objectives)  ระบุเป้าหมายที่ชัดเจนสำหรับการทดสอบ DR เช่น การทดสอบความเร็วในการกู้คืนระบบ, การตรวจสอบการทำงานของการสำรองข้อมูล, หรือการประเมินความพร้อมของทีมงาน

·       เลือกประเภทของการทดสอบ (Select Testing Type)  มีการทดสอบ DR หลายประเภทที่สามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม เช่น

Ø Tabletop Exercises  การจำลองสถานการณ์ผ่านการประชุมหรือการพูดคุยเพื่อทบทวนแผน DR โดยไม่มีการทดสอบจริง

Ø Simulation Testing  การจำลองเหตุการณ์ฉุกเฉินโดยใช้ระบบเสมือนเพื่อทดสอบความสามารถในการกู้คืน

Ø Full-Scale Testing  การทดสอบจริงในสถานการณ์จริงที่เกี่ยวข้องกับการย้ายข้อมูลหรือการกู้คืนระบบจากศูนย์ข้อมูลสำรอง

·       เตรียมการทดสอบ (Prepare for the Test)  การเตรียมพร้อมในการทดสอบรวมถึงการจัดเตรียมทรัพยากรที่จำเป็น เช่น ทีมงาน, อุปกรณ์, และข้อมูลตัวอย่าง รวมถึงการแจ้งเตือนผู้เกี่ยวข้องถึงการทดสอบที่กำลังจะเกิดขึ้น

·       ดำเนินการทดสอบ (Execute the Test)  การดำเนินการทดสอบตามแผนที่วางไว้ โดยการทดสอบต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดในแผน DR เช่น การกู้คืนข้อมูลจากระบบสำรอง, การย้ายระบบไปยังศูนย์ข้อมูลสำรอง, หรือการทดสอบความสามารถของระบบในการรับมือกับการโจมตีทางไซเบอร์

·       บันทึกและวิเคราะห์ผลการทดสอบ (Document and Analyze Test Results)  การบันทึกผลลัพธ์ของการทดสอบอย่างละเอียด รวมถึงการบันทึกปัญหาหรือข้อบกพร่องที่พบ รวมถึงการประเมินว่าการทดสอบนั้นสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่

·       ปรับปรุงแผน DR ตามผลการทดสอบ (Update the DR Plan)  การปรับปรุงแผน DR ตามผลลัพธ์ที่ได้จากการทดสอบ หากพบปัญหาหรือข้อบกพร่อง ควรมีการแก้ไขและทดสอบใหม่จนกว่าจะมั่นใจว่าแผนสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

·       การทดสอบอย่างต่อเนื่อง (Ongoing Testing)  การทดสอบ DR ควรทำอย่างต่อเนื่องและเป็นระยะ เพื่อให้แผน DR ยังคงมีความสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในเทคโนโลยีและการดำเนินธุรกิจ

ตัวอย่างการดำเนินการ  บริษัท F ทำการทดสอบ DR แบบ Simulation Testing โดยจำลองการล่มของระบบเซิร์ฟเวอร์หลักและทดสอบการกู้คืนจากศูนย์ข้อมูลสำรอง ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่าระบบสามารถกู้คืนได้ภายในเวลาที่กำหนด (RTO) แต่พบปัญหาในการซิงค์ข้อมูลบางส่วน จึงมีการปรับปรุงขั้นตอนการสำรองข้อมูลเพื่อให้แน่ใจว่าการกู้คืนในอนาคตจะไม่มีข้อบกพร่อง

โปรแกรมที่ใช้ในการทดสอบ DR

  • IBM Resiliency Orchestration  เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการวางแผนและทดสอบ DR โดยสามารถจำลองสถานการณ์และตรวจสอบผลลัพธ์ได้อย่างละเอียด
  • VMware Site Recovery Manager  เป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการจำลองและทดสอบการกู้คืนระบบจากศูนย์ข้อมูลสำรอง พร้อมกับการประเมินประสิทธิภาพการกู้คืน
  • Zerto  เครื่องมือที่ใช้ในการทดสอบ DR ที่ช่วยในการวางแผนและจำลองเหตุการณ์ภัยพิบัติเพื่อให้แน่ใจว่าการกู้คืนระบบและข้อมูลจะเป็นไปตามที่วางแผนไว้

6.      การเลือกเทคโนโลยีและเครื่องมือ (Technology and Tools Selection)  การเลือกใช้โปรแกรมและเทคโนโลยีที่เหมาะสม เช่น ระบบสำรองข้อมูล, ระบบจำลอง (virtualization), และบริการคลาวด์ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงาน DR

การเลือกเทคโนโลยีและเครื่องมือที่เหมาะสมในการจัดการ Disaster Recovery (DR) เป็นขั้นตอนที่สำคัญอย่างยิ่งเพื่อให้แน่ใจว่าองค์กรสามารถกู้คืนระบบและข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน การเลือกเทคโนโลยีและเครื่องมือต้องคำนึงถึงความต้องการเฉพาะขององค์กร เช่น ขนาดของระบบ, ประเภทของข้อมูล, งบประมาณ, และความซับซ้อนของโครงสร้างพื้นฐาน

ขั้นตอนในการเลือกเทคโนโลยีและเครื่องมือสำหรับ DR

·       การประเมินความต้องการขององค์กร (Assess Organizational Needs)  การทำความเข้าใจความต้องการขององค์กร เช่น ความสำคัญของระบบและข้อมูล, RTO และ RPO, ความซับซ้อนของโครงสร้างพื้นฐาน IT, และข้อจำกัดด้านงบประมาณ จะช่วยให้การเลือกเทคโนโลยีและเครื่องมือเป็นไปอย่างเหมาะสม

·       การสำรวจเทคโนโลยีและเครื่องมือที่มีอยู่ (Explore Available Technologies and Tools)  การสำรวจเทคโนโลยีและเครื่องมือที่มีอยู่ในตลาด เช่น โซลูชันการสำรองข้อมูล (Backup Solutions), การจำลองเซิร์ฟเวอร์ (Server Virtualization), การกู้คืนระบบ (System Recovery Tools), และบริการ DRaaS (Disaster Recovery as a Service)

·       การประเมินความเข้ากันได้ (Evaluate Compatibility)  การตรวจสอบว่าเทคโนโลยีและเครื่องมือที่เลือกเข้ากันได้กับโครงสร้างพื้นฐาน IT ปัจจุบันขององค์กรหรือไม่ เช่น การทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการ, แพลตฟอร์มคลาวด์, หรือฐานข้อมูลที่องค์กรใช้

·       การพิจารณาความยืดหยุ่นและการปรับขยาย (Consider Flexibility and Scalability)  การเลือกเทคโนโลยีที่สามารถปรับขยายได้ตามการเติบโตขององค์กร และมีความยืดหยุ่นในการรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในอนาคต เช่น การเพิ่มจำนวนเซิร์ฟเวอร์หรือปริมาณข้อมูลที่ต้องสำรอง

·       การพิจารณาด้านความปลอดภัย (Security Considerations)  การเลือกเครื่องมือที่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด เช่น การเข้ารหัสข้อมูล, การควบคุมการเข้าถึง, และการตรวจสอบเหตุการณ์ต่างๆ เพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาตในระหว่างกระบวนการกู้คืน

·       การพิจารณาความง่ายในการใช้งาน (Ease of Use)  การเลือกเครื่องมือที่ใช้งานง่ายและมีอินเทอร์เฟซที่ไม่ซับซ้อน ซึ่งจะช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการ DR และลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น

·       การตรวจสอบการสนับสนุนและการบริการหลังการขาย (Support and After-Sales Service)  การเลือกเครื่องมือจากผู้ให้บริการที่มีการสนับสนุนและบริการหลังการขายที่ดี ซึ่งรวมถึงการให้คำปรึกษา, การฝึกอบรม, และการช่วยเหลือในกรณีที่เกิดปัญหา

·       การทดสอบและการประเมินผล (Testing and Evaluation)  การทดสอบเครื่องมือในสภาพแวดล้อมจริงเพื่อประเมินประสิทธิภาพ, ความเสถียร, และความสะดวกในการใช้งานก่อนที่จะนำมาใช้งานในองค์กร

·       การคำนึงถึงต้นทุน (Cost Consideration)  การพิจารณาต้นทุนรวมของการเลือกใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือ เช่น ค่าลิขสิทธิ์, ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและบำรุงรักษา, และค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม

ตัวอย่างการดำเนินการ  บริษัท G ที่มีความซับซ้อนในโครงสร้างพื้นฐาน IT เลือกใช้ VMware Site Recovery Manager สำหรับการกู้คืนระบบเซิร์ฟเวอร์และ Veeam Backup & Replication สำหรับการสำรองข้อมูลที่สามารถทำงานร่วมกันได้และมีการสนับสนุนการทำงานในคลาวด์ ซึ่งทั้งสองเครื่องมือนี้เข้ากันได้กับโครงสร้างพื้นฐานปัจจุบันและสามารถปรับขยายได้ตามการเติบโตของธุรกิจ

โปรแกรมและเทคโนโลยีที่แนะนำ

  • Veeam Backup & Replication  โซลูชันที่ครอบคลุมทั้งการสำรองข้อมูลและการกู้คืนระบบ รองรับการทำงานในสภาพแวดล้อมเสมือนและคลาวด์
  • VMware Site Recovery Manager  เครื่องมือจัดการ DR สำหรับองค์กรที่ใช้เทคโนโลยี VMware ช่วยในการกู้คืนระบบอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  • Microsoft Azure Site Recovery  บริการ DRaaS ที่ทำให้การสำรองและกู้คืนข้อมูลเป็นไปอย่างราบรื่นในระบบคลาวด์
  • Zerto  โซลูชัน DR ที่มุ่งเน้นการทำงานแบบเรียลไทม์และการกู้คืนที่รวดเร็ว รองรับทั้งสภาพแวดล้อมแบบเสมือนและคลาวด์

7.      การตรวจสอบและอัปเดตแผน DR (DR Plan Review and Update)  การตรวจสอบและอัปเดตแผน DR อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าแผนยังคงเหมาะสมและทันสมัย

การตรวจสอบและอัปเดตแผน Disaster Recovery (DR Plan) เป็นกระบวนการที่สำคัญอย่างยิ่งในการรักษาความพร้อมและประสิทธิภาพของแผน DR ให้เหมาะสมกับสถานการณ์และความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปขององค์กร เนื่องจากเทคโนโลยี โครงสร้างพื้นฐาน และความเสี่ยงต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การไม่อัปเดตแผน DR อาจทำให้แผนไม่สามารถใช้งานได้จริงในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน

ขั้นตอนในการตรวจสอบและอัปเดตแผน DR

·       การกำหนดตารางเวลาการตรวจสอบ (Establish Review Schedule)  กำหนดตารางเวลาสำหรับการตรวจสอบแผน DR อย่างสม่ำเสมอ เช่น ทุกไตรมาสหรือทุกปี หรือหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญในโครงสร้างพื้นฐานหรือการดำเนินงานขององค์กร

·       การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงในธุรกิจและเทคโนโลยี (Analyze Business and Technological Changes)  ตรวจสอบว่าโครงสร้างพื้นฐาน IT, กระบวนการทางธุรกิจ, และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ถูกนำมาใช้มีผลกระทบต่อแผน DR หรือไม่ เช่น การอัปเกรดซอฟต์แวร์, การย้ายข้อมูลไปยังคลาวด์, หรือการเปลี่ยนแปลงระบบการจัดเก็บข้อมูล

·       การตรวจสอบความเสี่ยงใหม่ (Identify New Risks)  ประเมินความเสี่ยงใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น ภัยคุกคามทางไซเบอร์ใหม่, การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางกฎหมาย, หรือการเปิดตัวผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ที่อาจทำให้เกิดช่องโหว่

·       การทบทวนการปฏิบัติงาน (Review Operational Procedures)  ตรวจสอบว่าแนวปฏิบัติและขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ระบุในแผน DR ยังคงมีความสอดคล้องและเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมการทำงานปัจจุบันหรือไม่ และทำการปรับปรุงหากจำเป็น

·       การประเมินประสิทธิภาพจากการทดสอบที่ผ่านมา (Evaluate Performance from Past Testing)  ทบทวนผลการทดสอบ DR ที่ผ่านมาเพื่อตรวจสอบว่ามีปัญหาหรือข้อบกพร่องใดที่ต้องได้รับการแก้ไข และปรับปรุงแผน DR ให้สามารถรับมือกับปัญหาเหล่านั้นได้

·       การอัปเดตข้อมูลผู้ติดต่อและการสื่อสาร (Update Contact Information and Communication Plan)  ตรวจสอบและอัปเดตรายชื่อผู้ติดต่อที่สำคัญ เช่น ผู้รับผิดชอบหลัก, ผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิค, และหน่วยงานภายนอก เพื่อให้การสื่อสารในสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นไปอย่างราบรื่น

·       การฝึกอบรมและการสร้างความตระหนัก (Training and Awareness)  ฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในแผน DR เพื่อให้มั่นใจว่าทุกคนเข้าใจหน้าที่และความรับผิดชอบของตนในกรณีเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน

·       การบันทึกและจัดเก็บข้อมูล (Documenting and Archiving)  บันทึกการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่เกิดขึ้นในการตรวจสอบและอัปเดตแผน DR พร้อมทั้งจัดเก็บเอกสารให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายในกรณีที่ต้องใช้งาน

·       การประสานงานกับผู้จำหน่ายและผู้ให้บริการ (Coordinate with Vendors and Service Providers)  ประสานงานกับผู้จำหน่ายและผู้ให้บริการที่เกี่ยวข้องเพื่อให้แน่ใจว่าแผน DR ยังคงสอดคล้องกับบริการหรือผลิตภัณฑ์ที่ได้รับจากภายนอก

·       การทบทวนและอนุมัติแผนที่อัปเดต (Review and Approve Updated Plan)  นำเสนอแผน DR ที่อัปเดตต่อผู้บริหารหรือคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องเพื่อรับรองความถูกต้องและการอนุมัติแผนก่อนที่จะนำไปปฏิบัติ

ตัวอย่างการดำเนินการ  บริษัท H ทำการตรวจสอบแผน DR ของตนทุก 6 เดือน หลังจากการอัปเกรดโครงสร้างพื้นฐาน IT ใหม่ บริษัทได้อัปเดตแผน DR โดยเพิ่มขั้นตอนการกู้คืนข้อมูลจากระบบคลาวด์ และได้ทบทวนการทดสอบเพื่อให้แน่ใจว่าระบบใหม่ทั้งหมดสามารถกู้คืนได้ตาม RTO และ RPO ที่กำหนด

โปรแกรมและเทคโนโลยีที่ใช้ในการตรวจสอบและอัปเดตแผน DR

  • Onspring  เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการจัดการและติดตามการอัปเดตแผน DR รวมถึงการจัดทำเอกสารและการตรวจสอบประสิทธิภาพของแผน
  • Everbridge IT Alerting  ระบบแจ้งเตือนที่ช่วยในการประสานงานและสื่อสารกับทีมงานในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน รวมถึงการทบทวนและอัปเดตข้อมูลการสื่อสารในแผน DR
  • MetricStream  โซลูชันสำหรับการจัดการความเสี่ยงที่ช่วยในการตรวจสอบและอัปเดตแผน DR พร้อมกับการประเมินและการทดสอบแผนอย่างสม่ำเสมอ

 ตัวอย่างการดำเนินการ  บริษัท A ใช้ระบบคลาวด์สำหรับการสำรองข้อมูลและการกู้คืนข้อมูลเมื่อเกิดเหตุขัดข้อง ระบบจะทำการสำรองข้อมูลทุกๆ ชั่วโมงและจำลองระบบในสภาพแวดล้อมคลาวด์แบบเรียลไทม์ เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลสามารถกู้คืนได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุ

โปรแกรมที่ใช้งาน

  • Veeam  โปรแกรมสำรองและกู้คืนข้อมูลที่ช่วยให้การฟื้นฟูระบบทำได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  • AWS Disaster Recovery  บริการจาก Amazon Web Services ที่ช่วยในการสร้างสภาพแวดล้อมการกู้คืนในคลาวด์
  • Zerto  โซลูชั่นที่ช่วยในการสำรองข้อมูลและการฟื้นฟูระบบอย่างต่อเนื่องในสภาพแวดล้อมคลาวด์หรือ on-premise

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น