วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2567

CMMI (Capability Maturity Model Integration)

CMMI (Capability Maturity Model Integration) เป็นกรอบการทำงานที่ใช้ในการพัฒนาขีดความสามารถและกระบวนการขององค์กรเพื่อให้สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างต่อเนื่อง CMMI ได้รับการพัฒนาโดย Software Engineering Institute (SEI) ที่ Carnegie Mellon University และมีการใช้งานอย่างแพร่หลายในองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาซอฟต์แวร์ การจัดการโครงการ และการพัฒนาระบบงานต่าง ๆ ทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจว่าซอฟต์แวร์ที่ผลิตโดยบริษัทเหล่านั้น จะผ่านกระบวนการการพัฒนาที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากลที่ทั่วโลกยอมรับ

CMMI (Capability Maturity Model Integration) แบ่งตามประเภทของงานได้เป็นสามประเภทหลัก ซึ่งเรียกว่า "Constellations" แต่ละประเภทเน้นที่กระบวนการและแนวทางที่แตกต่างกันเพื่อรองรับประเภทงานเฉพาะ ดังนี้

1.         CMMI for Development (CMMI-DEV)

o   ใช้สำหรับองค์กรที่มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ

o   ช่วยในการปรับปรุงกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ การออกแบบระบบ และการจัดการโครงการพัฒนาต่าง ๆ

o   เน้นการวางแผน การจัดการ และการปรับปรุงกระบวนการพัฒนาเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงและตรงตามความต้องการของลูกค้า

2.         CMMI for Services (CMMI-SVC)

o   ใช้สำหรับองค์กรที่มุ่งเน้นการให้บริการ

o   ช่วยในการปรับปรุงกระบวนการให้บริการ การจัดการความต้องการของลูกค้า การจัดการความเสี่ยง และการปรับปรุงคุณภาพของการให้บริการ

o   เน้นการจัดการบริการอย่างมีประสิทธิภาพและการปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า

3.         CMMI for Acquisition (CMMI-ACQ)

o   ใช้สำหรับองค์กรที่มีการจัดซื้อจัดจ้างหรือการบริหารจัดการสัญญา

o   ช่วยในการปรับปรุงกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง การบริหารจัดการสัญญา และการประสานงานกับผู้ให้บริการหรือผู้จัดหา

o   เน้นการจัดการกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างอย่างมีประสิทธิภาพ การลดความเสี่ยง และการเพิ่มความมั่นใจในการได้รับสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพ

การแบ่งประเภทของ CMMI ตาม constellations ช่วยให้องค์กรสามารถเลือกใช้แนวทางและกระบวนการที่เหมาะสมกับประเภทงานของตน เพื่อให้สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพและคุณภาพของกระบวนการทำงานได้อย่างเหมาะสมและตรงตามความต้องการขององค์กรและลูกค้า

CMMI มี 5 ระดับของการพัฒนา (Maturity Levels) ดังนี้

1.         Initial Performed level (ระดับ 1)  ​​เป็นระดับเบื้องต้น กระบวนการไม่เป็นระบบ อาจเกิดปัญหาได้บ่อย

ระดับ Initial (ระดับ 1) ใน CMMI มีลักษณะดังนี้

Initial (ระดับ 1)

  • กระบวนการทำงานในระดับนี้ยังไม่ได้ถูกกำหนดอย่างเป็นระบบ
  • การดำเนินงานขึ้นอยู่กับความสามารถและความรู้ของบุคลากรแต่ละคน
  • องค์กรยังไม่มีแนวทางหรือขั้นตอนที่ชัดเจนในการจัดการโครงการหรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์
  • การทำงานมีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหาบ่อยครั้งและไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า
  • ผลลัพธ์และประสิทธิภาพของการทำงานอาจแตกต่างกันไปตามโครงการหรือบุคลากรที่เกี่ยวข้อง

ระดับ Initial มักเป็นจุดเริ่มต้นขององค์กรที่ยังไม่มีการจัดการกระบวนการทำงานอย่างมีระบบ การก้าวไปสู่ระดับที่สูงขึ้นจึงจำเป็นต้องมีการปรับปรุงกระบวนการและการจัดการในระดับองค์กรเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความเสถียรมากยิ่งขึ้น

2.         Managed (ระดับ 2)  กระบวนการถูกจัดการและตรวจสอบ ผลงานมีความคงที่

ระดับ Managed (ระดับ 2) ใน CMMI มีลักษณะดังนี้

Managed (ระดับ 2)

  • กระบวนการทำงานถูกกำหนดอย่างชัดเจนและมีการจัดการอย่างเป็นระบบ
  • การดำเนินงานมีการวางแผนและติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ
  • มีการจัดการทรัพยากรและกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบชัดเจน
  • มีการบันทึกและตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการทำงาน เพื่อให้สามารถตรวจสอบและปรับปรุงได้
  • การดำเนินงานมีความคงที่และสามารถคาดการณ์ได้
  • การจัดการความเสี่ยงและการแก้ไขปัญหามีการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ
  • ผลงานและผลลัพธ์มีความสม่ำเสมอและสามารถวัดผลได้

ระดับ Managed เป็นขั้นตอนที่องค์กรมีการจัดการกระบวนการทำงานอย่างมีระบบและสามารถสร้างความเสถียรในการทำงานได้ การดำเนินงานที่มีการวางแผนและติดตามผลช่วยให้องค์กรสามารถปรับปรุงและพัฒนากระบวนการได้อย่างต่อเนื่อง

 3.         Defined (ระดับ 3)  กระบวนการถูกกำหนดและจัดทำเป็นมาตรฐานสำหรับทั้งองค์กร

ระดับ Defined (ระดับ 3) ใน CMMI มีลักษณะดังนี้

Defined (ระดับ 3)

  • กระบวนการทำงานถูกกำหนดและจัดทำเป็นมาตรฐานสำหรับทั้งองค์กร
  • มีการจัดทำเอกสารและมาตรฐานการทำงานที่ชัดเจนและเป็นที่เข้าใจทั่วทั้งองค์กร
  • กระบวนการมาตรฐานเหล่านี้ถูกปรับใช้ในทุกโครงการและทุกส่วนงานขององค์กร
  • มีการฝึกอบรมและให้ความรู้กับบุคลากรเกี่ยวกับกระบวนการมาตรฐาน
  • มีการนำกระบวนการที่ดีที่สุด (best practices) มาใช้และปรับปรุงให้เข้ากับองค์กร
  • การดำเนินงานสามารถประยุกต์ใช้มาตรฐานที่กำหนดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความสม่ำเสมอของผลลัพธ์
  • การปรับปรุงกระบวนการทำงานอย่างต่อเนื่องเกิดขึ้นโดยมีการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อพัฒนามาตรฐานให้ดียิ่งขึ้น

ระดับ Defined ช่วยให้องค์กรมีมาตรฐานการทำงานที่ชัดเจนและสามารถนำไปใช้ได้ทั่วทั้งองค์กร ซึ่งส่งผลให้การดำเนินงานมีความเป็นระบบและประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

4.         Quantitatively Managed (ระดับ 4)  กระบวนการถูกจัดการเชิงปริมาณโดยใช้การวัดและการวิเคราะห์

ระดับ Quantitatively Managed (ระดับ 4) ใน CMMI มีลักษณะดังนี้

Quantitatively Managed (ระดับ 4)

  • กระบวนการทำงานถูกจัดการเชิงปริมาณโดยใช้การวัดและการวิเคราะห์
  • มีการกำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจนเพื่อวัดผลการดำเนินงานของกระบวนการต่าง ๆ ในองค์กร
  • การรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์เชิงสถิติถูกนำมาใช้ในการตัดสินใจและปรับปรุงกระบวนการทำงาน
  • มีการจัดการและควบคุมกระบวนการอย่างเข้มงวด โดยใช้ข้อมูลจากการวัดเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและคุณภาพของการทำงาน
  • การวิเคราะห์เชิงปริมาณช่วยให้สามารถระบุแนวโน้ม ปัญหา และโอกาสในการปรับปรุงกระบวนการได้อย่างแม่นยำ
  • กระบวนการทำงานมีความเสถียรและสามารถคาดการณ์ผลลัพธ์ได้ดี เนื่องจากมีการจัดการและควบคุมที่มีประสิทธิภาพ
  • การปรับปรุงกระบวนการเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยอิงจากข้อมูลและการวิเคราะห์ที่ถูกต้อง

ระดับ Quantitatively Managed ช่วยให้องค์กรสามารถปรับปรุงและพัฒนากระบวนการทำงานได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ โดยอิงจากข้อมูลและการวิเคราะห์ที่เป็นวิทยาศาสตร์

5.         Optimizing (ระดับ 5)  กระบวนการถูกปรับปรุงอย่างต่อเนื่องโดยใช้ข้อมูลจากการวิเคราะห์

ระดับ Optimizing (ระดับ 5) ใน CMMI มีลักษณะดังนี้

Optimizing (ระดับ 5)

  • กระบวนการทำงานถูกปรับปรุงอย่างต่อเนื่องโดยใช้ข้อมูลจากการวิเคราะห์
  • มีการมุ่งเน้นการปรับปรุงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของกระบวนการอย่างต่อเนื่อง
  • การปรับปรุงกระบวนการทำงานเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กร
  • มีการใช้ข้อมูลจากการวิเคราะห์เพื่อระบุแนวโน้ม ปัญหา และโอกาสในการปรับปรุง
  • กระบวนการปรับปรุงรวมถึงการนำแนวทางใหม่ ๆ และเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
  • การจัดการความเสี่ยงและการแก้ไขปัญหามีการดำเนินการอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  • มีการส่งเสริมการเรียนรู้และนวัตกรรมในองค์กรอย่างต่อเนื่อง
  • การดำเนินงานมีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวได้ตามการเปลี่ยนแปลงของตลาดและความต้องการของลูกค้า

ระดับ Optimizing ช่วยให้องค์กรสามารถปรับปรุงและพัฒนากระบวนการทำงานได้อย่างต่อเนื่องโดยใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

การใช้ CMMI (Capability Maturity Model Integration) ในการพัฒนาระบบมีข้อดีหลายประการที่ช่วยให้องค์กรสามารถปรับปรุงกระบวนการทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานได้ ดังนี้

1.         การปรับปรุงประสิทธิภาพ

o   CMMI ช่วยให้องค์กรสามารถระบุและปรับปรุงกระบวนการทำงานที่ไม่ประสิทธิภาพได้ ส่งผลให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

2.         การเพิ่มคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการ

o   ด้วยการนำแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด (best practices) มาใช้ องค์กรสามารถเพิ่มคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการที่ส่งมอบให้กับลูกค้าได้

3.         การจัดการความเสี่ยง

o   การใช้ CMMI ช่วยให้องค์กรสามารถระบุและจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับโครงการและกระบวนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4.         การเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า

o   ด้วยการปรับปรุงคุณภาพและประสิทธิภาพในการดำเนินงาน องค์กรสามารถตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

5.         การลดต้นทุน

o   การปรับปรุงกระบวนการทำงานและการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพช่วยลดต้นทุนในการดำเนินงานขององค์กร

6.         การส่งเสริมการพัฒนาบุคลากร

o   การใช้ CMMI ช่วยให้บุคลากรมีความรู้และทักษะที่ดียิ่งขึ้น ผ่านการฝึกอบรมและการพัฒนากระบวนการทำงาน

7.         การสร้างความเป็นมาตรฐาน

o   CMMI ช่วยให้องค์กรมีมาตรฐานการทำงานที่ชัดเจนและสามารถนำไปใช้ได้ทั่วทั้งองค์กร ทำให้การดำเนินงานมีความเสถียรและเป็นระบบ

8.         การสนับสนุนการตัดสินใจ

o   การวัดผลและการวิเคราะห์เชิงปริมาณช่วยให้องค์กรสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลและมีเหตุผลมากขึ้น

9.         การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง

o   การใช้ CMMI ช่วยให้องค์กรมีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดและเทคโนโลยีได้ดีขึ้น

10.      การสร้างความยั่งยืน

o   การปรับปรุงกระบวนการทำงานอย่างต่อเนื่องช่วยให้องค์กรสามารถพัฒนาและเติบโตได้อย่างยั่งยืน

การนำ CMMI มาใช้ช่วยให้องค์กรสามารถปรับปรุงและพัฒนากระบวนการทำงานได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้การดำเนินงานขององค์กรมีความเสถียรและสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและตลาดได้ดียิ่งขึ้นและช่วยให้องค์กรสามารถปรับปรุงกระบวนการทำงาน ลดความเสี่ยง เพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของผลิตภัณฑ์หรือบริการ และสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น