CMMI (Capability Maturity Model Integration) เป็นกรอบการทำงานที่ใช้ในการพัฒนาขีดความสามารถและกระบวนการขององค์กรเพื่อให้สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างต่อเนื่อง CMMI ได้รับการพัฒนาโดย Software Engineering Institute (SEI) ที่ Carnegie Mellon University และมีการใช้งานอย่างแพร่หลายในองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาซอฟต์แวร์ การจัดการโครงการ และการพัฒนาระบบงานต่าง ๆ ทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจว่าซอฟต์แวร์ที่ผลิตโดยบริษัทเหล่านั้น จะผ่านกระบวนการการพัฒนาที่มีคุณภาพตามมาตรฐานสากลที่ทั่วโลกยอมรับ
CMMI (Capability Maturity Model Integration) แบ่งตามประเภทของงานได้เป็นสามประเภทหลัก
ซึ่งเรียกว่า "Constellations" แต่ละประเภทเน้นที่กระบวนการและแนวทางที่แตกต่างกันเพื่อรองรับประเภทงานเฉพาะ
ดังนี้
1.
CMMI for Development (CMMI-DEV)
o ใช้สำหรับองค์กรที่มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ
o ช่วยในการปรับปรุงกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์
การออกแบบระบบ และการจัดการโครงการพัฒนาต่าง ๆ
o เน้นการวางแผน
การจัดการ
และการปรับปรุงกระบวนการพัฒนาเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงและตรงตามความต้องการของลูกค้า
2.
CMMI for Services (CMMI-SVC)
o ใช้สำหรับองค์กรที่มุ่งเน้นการให้บริการ
o ช่วยในการปรับปรุงกระบวนการให้บริการ
การจัดการความต้องการของลูกค้า การจัดการความเสี่ยง
และการปรับปรุงคุณภาพของการให้บริการ
o เน้นการจัดการบริการอย่างมีประสิทธิภาพและการปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า
3.
CMMI for Acquisition (CMMI-ACQ)
o ใช้สำหรับองค์กรที่มีการจัดซื้อจัดจ้างหรือการบริหารจัดการสัญญา
o ช่วยในการปรับปรุงกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง
การบริหารจัดการสัญญา และการประสานงานกับผู้ให้บริการหรือผู้จัดหา
o เน้นการจัดการกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างอย่างมีประสิทธิภาพ
การลดความเสี่ยง และการเพิ่มความมั่นใจในการได้รับสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพ
การแบ่งประเภทของ CMMI ตาม constellations ช่วยให้องค์กรสามารถเลือกใช้แนวทางและกระบวนการที่เหมาะสมกับประเภทงานของตน
เพื่อให้สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพและคุณภาพของกระบวนการทำงานได้อย่างเหมาะสมและตรงตามความต้องการขององค์กรและลูกค้า
CMMI มี 5 ระดับของการพัฒนา (Maturity
Levels) ดังนี้
1.
Initial Performed level (ระดับ 1) เป็นระดับเบื้องต้น กระบวนการไม่เป็นระบบ
อาจเกิดปัญหาได้บ่อย
ระดับ Initial (ระดับ 1) ใน CMMI มีลักษณะดังนี้
Initial (ระดับ 1)
- กระบวนการทำงานในระดับนี้ยังไม่ได้ถูกกำหนดอย่างเป็นระบบ
- การดำเนินงานขึ้นอยู่กับความสามารถและความรู้ของบุคลากรแต่ละคน
- องค์กรยังไม่มีแนวทางหรือขั้นตอนที่ชัดเจนในการจัดการโครงการหรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์
- การทำงานมีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหาบ่อยครั้งและไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า
- ผลลัพธ์และประสิทธิภาพของการทำงานอาจแตกต่างกันไปตามโครงการหรือบุคลากรที่เกี่ยวข้อง
ระดับ Initial มักเป็นจุดเริ่มต้นขององค์กรที่ยังไม่มีการจัดการกระบวนการทำงานอย่างมีระบบ
การก้าวไปสู่ระดับที่สูงขึ้นจึงจำเป็นต้องมีการปรับปรุงกระบวนการและการจัดการในระดับองค์กรเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความเสถียรมากยิ่งขึ้น
2.
Managed (ระดับ 2) กระบวนการถูกจัดการและตรวจสอบ
ผลงานมีความคงที่
ระดับ Managed (ระดับ 2) ใน CMMI มีลักษณะดังนี้
Managed (ระดับ 2)
- กระบวนการทำงานถูกกำหนดอย่างชัดเจนและมีการจัดการอย่างเป็นระบบ
- การดำเนินงานมีการวางแผนและติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ
- มีการจัดการทรัพยากรและกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบชัดเจน
- มีการบันทึกและตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการทำงาน
เพื่อให้สามารถตรวจสอบและปรับปรุงได้
- การดำเนินงานมีความคงที่และสามารถคาดการณ์ได้
- การจัดการความเสี่ยงและการแก้ไขปัญหามีการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ
- ผลงานและผลลัพธ์มีความสม่ำเสมอและสามารถวัดผลได้
ระดับ Managed เป็นขั้นตอนที่องค์กรมีการจัดการกระบวนการทำงานอย่างมีระบบและสามารถสร้างความเสถียรในการทำงานได้
การดำเนินงานที่มีการวางแผนและติดตามผลช่วยให้องค์กรสามารถปรับปรุงและพัฒนากระบวนการได้อย่างต่อเนื่อง
3. Defined (ระดับ 3) กระบวนการถูกกำหนดและจัดทำเป็นมาตรฐานสำหรับทั้งองค์กร
ระดับ Defined (ระดับ 3) ใน CMMI มีลักษณะดังนี้
Defined (ระดับ 3)
- กระบวนการทำงานถูกกำหนดและจัดทำเป็นมาตรฐานสำหรับทั้งองค์กร
- มีการจัดทำเอกสารและมาตรฐานการทำงานที่ชัดเจนและเป็นที่เข้าใจทั่วทั้งองค์กร
- กระบวนการมาตรฐานเหล่านี้ถูกปรับใช้ในทุกโครงการและทุกส่วนงานขององค์กร
- มีการฝึกอบรมและให้ความรู้กับบุคลากรเกี่ยวกับกระบวนการมาตรฐาน
- มีการนำกระบวนการที่ดีที่สุด (best practices) มาใช้และปรับปรุงให้เข้ากับองค์กร
- การดำเนินงานสามารถประยุกต์ใช้มาตรฐานที่กำหนดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความสม่ำเสมอของผลลัพธ์
- การปรับปรุงกระบวนการทำงานอย่างต่อเนื่องเกิดขึ้นโดยมีการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อพัฒนามาตรฐานให้ดียิ่งขึ้น
ระดับ Defined ช่วยให้องค์กรมีมาตรฐานการทำงานที่ชัดเจนและสามารถนำไปใช้ได้ทั่วทั้งองค์กร
ซึ่งส่งผลให้การดำเนินงานมีความเป็นระบบและประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
4.
Quantitatively Managed (ระดับ 4) กระบวนการถูกจัดการเชิงปริมาณโดยใช้การวัดและการวิเคราะห์
ระดับ Quantitatively Managed (ระดับ 4) ใน CMMI
มีลักษณะดังนี้
Quantitatively Managed (ระดับ 4)
- กระบวนการทำงานถูกจัดการเชิงปริมาณโดยใช้การวัดและการวิเคราะห์
- มีการกำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจนเพื่อวัดผลการดำเนินงานของกระบวนการต่าง ๆ
ในองค์กร
- การรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์เชิงสถิติถูกนำมาใช้ในการตัดสินใจและปรับปรุงกระบวนการทำงาน
- มีการจัดการและควบคุมกระบวนการอย่างเข้มงวด
โดยใช้ข้อมูลจากการวัดเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและคุณภาพของการทำงาน
- การวิเคราะห์เชิงปริมาณช่วยให้สามารถระบุแนวโน้ม ปัญหา
และโอกาสในการปรับปรุงกระบวนการได้อย่างแม่นยำ
- กระบวนการทำงานมีความเสถียรและสามารถคาดการณ์ผลลัพธ์ได้ดี
เนื่องจากมีการจัดการและควบคุมที่มีประสิทธิภาพ
- การปรับปรุงกระบวนการเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยอิงจากข้อมูลและการวิเคราะห์ที่ถูกต้อง
ระดับ Quantitatively Managed ช่วยให้องค์กรสามารถปรับปรุงและพัฒนากระบวนการทำงานได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
โดยอิงจากข้อมูลและการวิเคราะห์ที่เป็นวิทยาศาสตร์
5.
Optimizing (ระดับ 5) กระบวนการถูกปรับปรุงอย่างต่อเนื่องโดยใช้ข้อมูลจากการวิเคราะห์
ระดับ Optimizing (ระดับ 5) ใน CMMI มีลักษณะดังนี้
Optimizing (ระดับ 5)
- กระบวนการทำงานถูกปรับปรุงอย่างต่อเนื่องโดยใช้ข้อมูลจากการวิเคราะห์
- มีการมุ่งเน้นการปรับปรุงประสิทธิภาพและประสิทธิผลของกระบวนการอย่างต่อเนื่อง
- การปรับปรุงกระบวนการทำงานเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กร
- มีการใช้ข้อมูลจากการวิเคราะห์เพื่อระบุแนวโน้ม ปัญหา
และโอกาสในการปรับปรุง
- กระบวนการปรับปรุงรวมถึงการนำแนวทางใหม่ ๆ
และเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
- การจัดการความเสี่ยงและการแก้ไขปัญหามีการดำเนินการอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
- มีการส่งเสริมการเรียนรู้และนวัตกรรมในองค์กรอย่างต่อเนื่อง
- การดำเนินงานมีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวได้ตามการเปลี่ยนแปลงของตลาดและความต้องการของลูกค้า
ระดับ Optimizing ช่วยให้องค์กรสามารถปรับปรุงและพัฒนากระบวนการทำงานได้อย่างต่อเนื่องโดยใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
การใช้ CMMI (Capability Maturity Model Integration) ในการพัฒนาระบบมีข้อดีหลายประการที่ช่วยให้องค์กรสามารถปรับปรุงกระบวนการทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานได้
ดังนี้
1.
การปรับปรุงประสิทธิภาพ
o CMMI ช่วยให้องค์กรสามารถระบุและปรับปรุงกระบวนการทำงานที่ไม่ประสิทธิภาพได้
ส่งผลให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
2.
การเพิ่มคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการ
o ด้วยการนำแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด
(best practices) มาใช้
องค์กรสามารถเพิ่มคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการที่ส่งมอบให้กับลูกค้าได้
3.
การจัดการความเสี่ยง
o การใช้ CMMI ช่วยให้องค์กรสามารถระบุและจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับโครงการและกระบวนการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4.
การเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า
o ด้วยการปรับปรุงคุณภาพและประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
องค์กรสามารถตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
5.
การลดต้นทุน
o การปรับปรุงกระบวนการทำงานและการจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพช่วยลดต้นทุนในการดำเนินงานขององค์กร
6.
การส่งเสริมการพัฒนาบุคลากร
o การใช้ CMMI ช่วยให้บุคลากรมีความรู้และทักษะที่ดียิ่งขึ้น
ผ่านการฝึกอบรมและการพัฒนากระบวนการทำงาน
7.
การสร้างความเป็นมาตรฐาน
o CMMI ช่วยให้องค์กรมีมาตรฐานการทำงานที่ชัดเจนและสามารถนำไปใช้ได้ทั่วทั้งองค์กร
ทำให้การดำเนินงานมีความเสถียรและเป็นระบบ
8.
การสนับสนุนการตัดสินใจ
o การวัดผลและการวิเคราะห์เชิงปริมาณช่วยให้องค์กรสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลและมีเหตุผลมากขึ้น
9.
การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง
o การใช้ CMMI ช่วยให้องค์กรมีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดและเทคโนโลยีได้ดีขึ้น
10. การสร้างความยั่งยืน
o การปรับปรุงกระบวนการทำงานอย่างต่อเนื่องช่วยให้องค์กรสามารถพัฒนาและเติบโตได้อย่างยั่งยืน
การนำ CMMI มาใช้ช่วยให้องค์กรสามารถปรับปรุงและพัฒนากระบวนการทำงานได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
ส่งผลให้การดำเนินงานขององค์กรมีความเสถียรและสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและตลาดได้ดียิ่งขึ้นและช่วยให้องค์กรสามารถปรับปรุงกระบวนการทำงาน
ลดความเสี่ยง เพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของผลิตภัณฑ์หรือบริการ
และสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น