วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2567

Scrum กรอบการทำงานที่ใช้ในการจัดการและพัฒนาโครงการโดยใช้แนวทาง Agile

 Scrum เป็นกรอบการทำงาน (framework) ที่ใช้ในการจัดการและพัฒนาโครงการโดยใช้แนวทาง Agile มุ่งเน้นการทำงานร่วมกันในทีมเพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าอย่างต่อเนื่อง โดยใช้การทำงานเป็นรอบ ๆ ที่เรียกว่า Sprint เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สามารถปรับปรุงได้ตามความต้องการของลูกค้าและความเปลี่ยนแปลงของตลาด

ส่วนประกอบหลักของ Scrum

1.      Roles (บทบาท)

o   Product Owner  เป็นผู้ดูแล Product Backlog (รายการของฟีเจอร์ที่ต้องทำ) และรับผิดชอบในการตั้งลำดับความสำคัญของฟีเจอร์ต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าและตลาด

o   Scrum Master  เป็นผู้ดูแลกระบวนการ Scrum ให้เป็นไปตามหลักการและแนวทางที่กำหนด ช่วยขจัดอุปสรรคที่ทีมพัฒนาเจอ และสนับสนุนทีมในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

o   Development Team  ทีมงานที่รับผิดชอบในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในแต่ละ Sprint โดยมีทักษะที่หลากหลายและทำงานร่วมกันในการส่งมอบฟีเจอร์ที่เสร็จสมบูรณ์

2.      Artifacts (สิ่งที่ผลิต)

o   Product Backlog  รายการของฟีเจอร์และข้อกำหนดที่ต้องการในผลิตภัณฑ์ ซึ่งจัดลำดับความสำคัญโดย Product Owner

o   Sprint Backlog  รายการของงานที่ทีมพัฒนาวางแผนจะทำใน Sprint ปัจจุบัน ซึ่งคัดเลือกจาก Product Backlog

o   Increment  ผลลัพธ์ที่เสร็จสมบูรณ์ในแต่ละ Sprint ซึ่งรวมถึงฟีเจอร์ที่พัฒนาขึ้นและสามารถใช้งานได้

3.      Events (กิจกรรม)

o   Sprint  ช่วงเวลาที่มีระยะเวลา 1-4 สัปดาห์ ที่ทีมพัฒนาจะทำงานเพื่อส่งมอบ Increment ที่เสร็จสมบูรณ์

o   Sprint Planning  การประชุมที่เกิดขึ้นเมื่อเริ่มต้น Sprint เพื่อวางแผนและกำหนดงานที่จะทำใน Sprint

o   Daily Scrum  การประชุมสั้น ๆ ทุกวันเพื่อรายงานความก้าวหน้าและปัญหาที่พบ ช่วยให้ทีมพัฒนาติดตามสถานะงานและปรับตัวตามความจำเป็น

o   Sprint Review  การประชุมที่จัดขึ้นเมื่อสิ้นสุด Sprint เพื่อสาธิตฟีเจอร์ที่พัฒนาสำเร็จแล้วให้กับผู้มีส่วนได้เสีย และรับฟีดแบ็ก

o   Sprint Retrospective  การประชุมที่เกิดขึ้นหลังจาก Sprint Review เพื่อทบทวนกระบวนการทำงานและหาแนวทางในการปรับปรุง

แนวทางการทำงานของ Scrum

1.      การทำงานเป็นรอบ  Scrum ใช้แนวทางการทำงานเป็นรอบ ๆ หรือ Sprint ซึ่งทำให้ทีมสามารถส่งมอบฟีเจอร์ที่เสร็จสมบูรณ์และรับฟีดแบ็กได้อย่างรวดเร็ว

2.      การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง  Scrum ส่งเสริมการทบทวนและปรับปรุงกระบวนการทำงานในแต่ละ Sprint เพื่อให้ทีมสามารถพัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ได้อย่างต่อเนื่อง

3.      การทำงานร่วมกัน  Scrum สนับสนุนการทำงานร่วมกันระหว่างสมาชิกในทีมและกับผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อให้การพัฒนาผลิตภัณฑ์มีความสอดคล้องกับความต้องการ

ข้อดีการทำงานแบบ Scrum

การทำงานแบบ Scrum มีข้อดีหลายประการที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการโครงการและการพัฒนา โดยมุ่งเน้นการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องและการทำงานร่วมกัน นี่คือข้อดีหลัก ๆ ของการทำงานแบบ Scrum

1. การส่งมอบคุณค่าอย่างรวดเร็ว

  • การพัฒนาแบบ Iterative  Scrum ใช้ Sprint ซึ่งเป็นรอบการทำงานที่สั้น (1-4 สัปดาห์) ทำให้ทีมสามารถส่งมอบฟีเจอร์ที่เสร็จสมบูรณ์และสามารถใช้งานได้อย่างรวดเร็ว
  • การตอบสนองต่อความต้องการ  ฟีเจอร์ที่พัฒนาขึ้นจะได้รับการตรวจสอบและทดสอบโดยผู้มีส่วนได้เสีย (stakeholders) ทำให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างทันที

2. การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

  • การทบทวน Sprint  การประชุม Sprint Review และ Sprint Retrospective ช่วยให้ทีมสามารถทบทวนการทำงานและรับฟีดแบ็กเพื่อปรับปรุงกระบวนการและคุณภาพของงาน
  • การเรียนรู้จากประสบการณ์  ทีมสามารถเรียนรู้จากปัญหาและความสำเร็จในแต่ละ Sprint ทำให้สามารถปรับปรุงวิธีการทำงานใน Sprint ถัดไป

3. การเพิ่มความโปร่งใส

  • การสื่อสารที่ชัดเจน  การประชุม Daily Scrum ช่วยให้สมาชิกทีมสามารถรายงานความก้าวหน้าและปัญหาที่พบ ทำให้ทุกคนมีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับสถานะของโครงการ
  • การเข้าถึงข้อมูล  Product Backlog และ Sprint Backlog เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ทีมและผู้มีส่วนได้เสียสามารถเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับฟีเจอร์ที่ต้องการและสถานะของงาน

4. การทำงานร่วมกันในทีม

  • การทำงานเป็นทีม  Scrum ส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างสมาชิกในทีมเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกัน การประชุม Sprint Planning และ Daily Scrum ช่วยให้ทีมสามารถสื่อสารและทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การสนับสนุนจาก Scrum Master  Scrum Master ช่วยขจัดอุปสรรคและสนับสนุนทีมในการทำงาน ทำให้ทีมสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่

5. การจัดการความเสี่ยง

  • การตรวจสอบและปรับปรุง  การทดสอบฟีเจอร์ในแต่ละ Sprint ช่วยให้สามารถตรวจพบปัญหาตั้งแต่เนิ่น ๆ และปรับปรุงผลิตภัณฑ์ก่อนที่จะส่งมอบ
  • การวางแผนยืดหยุ่น  การจัดการงานในแต่ละ Sprint ทำให้ทีมสามารถปรับแผนงานตามความต้องการและข้อกำหนดที่เปลี่ยนแปลง

6. การมุ่งเน้นที่ผลลัพธ์

  • การจัดลำดับความสำคัญ  Product Owner มีบทบาทในการจัดลำดับความสำคัญของฟีเจอร์ใน Product Backlog ทำให้ทีมสามารถมุ่งเน้นการพัฒนาฟีเจอร์ที่มีคุณค่ามากที่สุด
  • การส่งมอบฟีเจอร์ที่พร้อมใช้งาน  ทีมมุ่งเน้นการส่งมอบ Increment ที่มีฟีเจอร์ที่เสร็จสมบูรณ์และสามารถใช้งานได้จริง ทำให้ลูกค้าสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันที

7. การสนับสนุนการเปลี่ยนแปลง

  • ความยืดหยุ่น  Scrum ช่วยให้ทีมสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของความต้องการและข้อกำหนดได้อย่างรวดเร็ว
  • การพัฒนาทั้งในระยะยาวและระยะสั้น  การพัฒนาเป็นรอบ ๆ และการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องช่วยให้ทีมสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดหรือความต้องการของลูกค้า

ตัวอย่างการนำ Scrum ไปบริหารโครงการ

การใช้ Scrum ในการบริหารโครงการมีความยืดหยุ่นสูงและสามารถนำไปใช้ได้กับหลายประเภทของโครงการ นี่คือตัวอย่างการนำ Scrum ไปใช้บริหารโครงการ รวมถึงโปรแกรมที่สามารถใช้ร่วมกันและวิธีการบริหารจัดการโครงการ

ตัวอย่างการใช้ Scrum

1. โครงการพัฒนาแอปพลิเคชันมือถือ

รายละเอียด

  • โครงการ  การพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อการจัดการงานประจำวัน
  • การใช้ Scrum
    • Product Backlog  บันทึกรายการฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น ระบบเตือนความจำ, การจัดการงาน, และการรายงาน
    • Sprint Planning  ทีมวางแผน Sprint เพื่อพัฒนาฟีเจอร์ที่สำคัญที่สุดในรอบที่ 2 สัปดาห์
    • Daily Scrum  การประชุมทุกวันเพื่อหารือเกี่ยวกับความก้าวหน้าและปัญหาที่พบ
    • Sprint Review  การสาธิตฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น การเตือนความจำที่พัฒนาเสร็จแล้วให้กับผู้ใช้
    • Sprint Retrospective  การประชุมเพื่อทบทวนสิ่งที่ทำได้ดีและสิ่งที่ต้องปรับปรุง

2. โครงการพัฒนาเว็บไซต์สำหรับ e-Commerce

รายละเอียด

  • โครงการ  การสร้างเว็บไซต์สำหรับการขายสินค้าออนไลน์
  • การใช้ Scrum
    • Product Backlog  ฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น ระบบค้นหาสินค้า, ระบบชำระเงิน, และการจัดการคำสั่งซื้อ
    • Sprint Planning  ทีมจะเลือกฟีเจอร์ที่สำคัญจาก Product Backlog และวางแผนการทำงานในแต่ละ Sprint
    • Daily Scrum  การประชุมเพื่อติดตามสถานะของการพัฒนาและแก้ไขปัญหา
    • Sprint Review  การแสดงฟีเจอร์ที่เสร็จแล้ว เช่น ระบบชำระเงินให้กับผู้มีส่วนได้เสีย
    • Sprint Retrospective  การวิเคราะห์การทำงานและพัฒนาแนวทางการทำงานให้ดีขึ้น

โปรแกรมที่ใช้ร่วมกับ Scrum

**1. Jira

  • ฟังก์ชัน  เครื่องมือการจัดการโครงการที่ช่วยในการติดตามงาน, การจัดลำดับความสำคัญ, และการจัดการ Sprint
  • วิธีการใช้  สร้างและจัดการ Product Backlog, วางแผน Sprint, และติดตามความก้าวหน้า

**2. Trello

  • ฟังก์ชัน  แพลตฟอร์มการจัดการงานแบบ Kanban ที่ใช้บอร์ด, รายการ, และการ์ด
  • วิธีการใช้  สร้างบอร์ดสำหรับ Product Backlog, สร้างการ์ดสำหรับฟีเจอร์, และติดตามสถานะของแต่ละงาน

**3. Azure DevOps

  • ฟังก์ชัน  เครื่องมือที่รวมการจัดการโครงการ, การติดตามงาน, และการพัฒนา
  • วิธีการใช้  จัดการ Product Backlog, วางแผน Sprint, และติดตามความก้าวหน้า

**4. Monday.com

  • ฟังก์ชัน  เครื่องมือการจัดการโครงการที่เน้นการจัดการทีมและงาน
  • วิธีการใช้  สร้างบอร์ดสำหรับการติดตาม Sprint, การจัดการฟีเจอร์ต่าง ๆ, และการติดตามสถานะ

**5. ClickUp

  • ฟังก์ชัน  เครื่องมือการจัดการโครงการที่มีฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น การจัดการงาน, การติดตามเวลาทำงาน, และการจัดการทีม
  • วิธีการใช้  จัดการ Product Backlog, ติดตาม Sprint, และวิเคราะห์ข้อมูลการทำงาน

วิธีการบริหารจัดการโครงการด้วย Scrum

1.      การวางแผนและการตั้งเป้าหมาย

o   เริ่มต้นด้วยการสร้าง Product Backlog ที่ประกอบด้วยฟีเจอร์ต่าง ๆ และความต้องการของลูกค้า

o   วางแผน Sprint โดยเลือกฟีเจอร์ที่ต้องพัฒนาในช่วงเวลา Sprint ที่กำหนด

2.      การดำเนินการ Sprint

o   ทำงานใน Sprint ตามแผนที่กำหนดไว้

o   ประชุม Daily Scrum เพื่อรายงานความก้าวหน้าและหารือเกี่ยวกับปัญหา

3.      การทดสอบและการตรวจสอบ

o   จัดการ Sprint Review เพื่อสาธิตฟีเจอร์ที่พัฒนาสำเร็จและรับฟีดแบ็กจากผู้มีส่วนได้เสีย

o   จัดการ Sprint Retrospective เพื่อทบทวนกระบวนการทำงานและหารือเกี่ยวกับการปรับปรุง

4.      การปรับปรุงและการพัฒนา

o   ปรับปรุงและปรับแผนตามฟีดแบ็กและการทบทวน

o   ทำงานต่อใน Sprint ถัดไปโดยมุ่งเน้นที่ฟีเจอร์และเป้าหมายที่สำคัญ

สรุปการนำ Scrum ไปบริหารจัดการโครงการขององค์กร

การนำ Scrum มาใช้ในการบริหารจัดการโครงการขององค์กรสามารถช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น นี่คือสรุปของการใช้ Scrum ในบริบทขององค์กร

1. การจัดการโครงการอย่างมีประสิทธิภาพ

  • การวางแผนที่ยืดหยุ่น  Scrum ใช้การทำงานเป็นรอบ (Sprint) เพื่อให้ทีมสามารถวางแผนและดำเนินการในระยะเวลาสั้น ๆ (1-4 สัปดาห์) ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนแผนตามความต้องการที่เปลี่ยนแปลงได้
  • การส่งมอบฟีเจอร์ที่เสร็จสมบูรณ์  การทำงานในแต่ละ Sprint ช่วยให้สามารถส่งมอบฟีเจอร์ที่เสร็จสมบูรณ์และสามารถใช้งานได้จริงในเวลาที่กำหนด

2. การทำงานร่วมกันในทีม

  • บทบาทที่ชัดเจน  Scrum กำหนดบทบาทที่ชัดเจน เช่น Product Owner, Scrum Master, และ Development Team ซึ่งช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นและมีความรับผิดชอบที่ชัดเจน
  • การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ  การประชุม Daily Scrum และการประชุม Sprint Review ช่วยให้สมาชิกทีมและผู้มีส่วนได้เสียสามารถติดตามความก้าวหน้าและประสานงานได้ดีขึ้น

3. การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

  • การทบทวนและปรับปรุง  การประชุม Sprint Retrospective ช่วยให้ทีมสามารถทบทวนกระบวนการทำงานและปรับปรุงวิธีการทำงานตามฟีดแบ็กและประสบการณ์ที่ได้รับ
  • การเรียนรู้จากความสำเร็จและความล้มเหลว  การวิเคราะห์การทำงานในแต่ละ Sprint ช่วยให้ทีมเรียนรู้จากข้อผิดพลาดและพัฒนาการทำงานให้ดียิ่งขึ้น

4. การจัดการความเสี่ยง

  • การตรวจสอบและทดสอบเร็ว  การส่งมอบฟีเจอร์ที่เสร็จสมบูรณ์ในแต่ละ Sprint ช่วยในการตรวจพบปัญหาและความเสี่ยงตั้งแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่จะส่งมอบผลิตภัณฑ์ทั้งหมด
  • การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง  Scrum ช่วยให้ทีมสามารถปรับแผนงานและฟีเจอร์ตามความต้องการและข้อกำหนดที่เปลี่ยนแปลง

5. เครื่องมือที่ช่วยในการบริหารจัดการ

  • Jira, Trello, Azure DevOps  เครื่องมือเหล่านี้ช่วยในการติดตามและจัดการ Product Backlog, Sprint Backlog, และความก้าวหน้าในการทำงาน
  • การจัดการและติดตามงาน  โปรแกรมเหล่านี้ช่วยให้สามารถจัดการงานในแต่ละ Sprint, ติดตามสถานะของฟีเจอร์ต่าง ๆ และประสานงานในทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

6. การสร้างคุณค่าให้กับลูกค้า

  • การตอบสนองที่รวดเร็ว  Scrum ช่วยให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและตลาดได้อย่างรวดเร็ว
  • การมุ่งเน้นที่คุณค่า  การจัดลำดับความสำคัญของฟีเจอร์โดย Product Owner ทำให้ทีมสามารถมุ่งเน้นการพัฒนาฟีเจอร์ที่มีคุณค่ามากที่สุด

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น